นายธานินทร์ ตันประวัติ กรรมการผู้จัดการ บมจ.แอร์โรว์ ซินดิเคท (ARROW) เปิดเผยว่า บริษัทเตรียมเข้าร่วมประมูลงานสนามบินสุวรรณภูมิ เฟส 2 ในเดือน ก.ค. นี้ โดยเฉพาะในส่วนของงานท่อร้อยสายไฟที่คาดว่าจะมีมูลค่ามากกว่ารถไฟฟ้าสองสายรวมกัน โดยมูลค่างานท่อร้อยสายไฟของรถไฟฟ้าอยู่ที่ราว 40-50 ล้านบาท/สาย ซึ่งบริษัทฯค่อนข้างมั่นใจว่าจะได้งานดังกล่าว
ในส่วนของงานนำสายไฟฟ้าลงดินเส้น นราธิวาสราชนครินทร์-ถ.พระราม 4 จากการไฟฟ้านครหลวง ปัจจุบันบริษัทฯได้ยื่นซองเพื่อเข้าคดเลือกผู้มีสิทธิในการเข้าประมูล โดยคาดว่าจะเริ่มประมูลได้ในช่วงไตรมาส 3/59 นี้ มูลค่าราว 70 ล้านบาท ซึ่งบริษัทฯค่อนข้างมั่นใจว่าจะได้รับงาน
นอกจากนี้บริษัทฯได้เจรจากับพันธมิตรนอกตลาด เพื่อที่จะเข้ารับงานก่อสร้างนำสายไฟฟ้าลงดิน ที่คาดว่าจะมีออกมาอีก 7 โครงการ ซึ่งปัจจุบันอยู่ระหว่างยื่นใบผ่านงานเพื่อพิจารณาสิทธิในการเข้าร่วมประมูลและรับงาน รับเหมาก่อสร้างที่บริษัทฯไม่เคยทำมาก่อน โดยคาดว่าจะเห็นความชัดเจนว่าจะสามารถรับงานได้หรือไม่ ในช่วงไตรมาส 3/59
ขณะเดียวกันหลังจากงานทั้งภาครัฐฯและเอกชน มีแนวโน้มออกมาเพิ่มเติมอย่างต่อเนื่อง บริษัทจึงเตรียมพิจารณาการลงทุนก่อสร้างโรงงานแห่งใหม่ในพื้นที่เดิม เพื่อเพิ่มกำลังการผลิตท่อร้อยสายกันน้ำสำหรับการสื่อสารรองรับการขยายโครงข่าย 4G และยังจะมีการออกผลิตภัณฑ์ ท่อร้อยสายไฟ HDPE เพิ่มเติมด้วย คาดว่าจะสรุปแผนการลงทุนสัปดาห์หน้าและเริ่มลงทุนทันที น่าจะแล้วเสร็จในช่วงปลายปี มูลค่าการลงทุนราว 55-60 ล้านบาท แบ่งเป็นตัวโรงงาน 35-40 ล้านบาท และเครื่องจักร 20 ล้านบาท
นายธานินทร์ กล่าวเพิ่มเติมว่า แนวโน้มผลประกอบการไตรมาส 2/59 ทั้งในแง่รายได้และกำไรสุทธิจะทำได้ใกล้เคียงกับช่วงไตรมาส 1/59 ที่บริษัทฯมีรายได้ 312.27 ล้านบาท และกำไรสุทธิ 69.92 ล้านบาท แต่จะเติบโตเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน
"โดยปกติแล้วผลประกอบช่วงไตรมาส 2 จะต่ำกว่าไตรมาส 1 แต่บริษัทฯสามารถขยายฐานลูกค้าได้มากขึ้น หลังปรับมีการแข่งขันด้านราคาเล็กน้อย ซึ่งบริษัทฯได้เปรียบในเรื่องของต้นทุนอยู่แล้ว ทำให้ปีนี้ยังรักษาระดับผลประกอบการใกล้ไตรมาส 1 ได้ ซึ่งผลประกอบการจะเริ่มเติบโตอย่างชัดเจนในช่วงครึ่งปีหลัง"นายธานินทร์ กล่าว
ทั้งนี้ บริษัทมั่นใจกำไรสุทธิปีนี้จะทำสถิติสูงสุดใหม่ จากปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 245.66 ล้านบาท โดยจะเน้นขายสินค้ามาร์จิ้นสูง และรักษาระดับอัตรากำไรสุทธิไม่ต่ำกว่า 20% ขณะเดียวกันยังมั่นใจว่ารายได้ปีนี้จะไม่ต่ำกว่า 1.4 พันล้านบาท เนื่องจากบริษัฯมีงานในมือ (Backlog) สูงถึง 240 ล้านบาท และมั่นใจว่าส่วนแบ่งตลาด (มาร์เก็ตแชร์) ท่อร้อยสายไฟภายในประเทศจะสูงขึ้นแตะ 65% จากปีก่อนที่ 55% ซึ่งยังเน้นเจาะตลาดกลุ่มลูกค้าเดิมเป็นหลัก