นายรณชิต มหัทธนะพฤทธิ์ รองประธานอาวุโสฝ่ายการเงินและบริหาร บมจ.โรงแรมเซ็นทรัลพลาซา (CENTEL) เปิดเผยว่า บริษัทอยู่ระหว่างการศึกษาการเข้าซื้อกิจการและร่วมทุน (M&A) โรงแรมทั้งในและต่างประเทศร่วมกับพันธมิตร โดยเป็นโรงแรมที่อยู่ในหัวเมืองท่องเที่ยวหลัก ซึ่งปัจจุบันมีดีลที่ศึกษาทั้งหมด 1-2 ดีล ได้แก่ โรงแรมในภูเก็ต และหัวเมืองท่องเที่ยวอีก 1 แห่ง โดยรูปแบบการลงทุนจะเป็นการร่วมกับพันธมิตร โดยหากเป็นทำเลที่บริษัทคุ้นเคยบริษัทจะเป็นผู้ลงทุนเองทั้งหมด หรือลงทุนในสัดส่วน 75-80% แต่หากเป็นทำเลที่บริษัทไม่คุ้นเคยจะลงทุนในสัดส่วน 20-25% และจะมีการทำสัญญาเรื่องการเปลี่ยนแปลงการถือหุ้นกับพันธมิตรไว้ล่วงหน้า หากพันธมิตรต้องการขายหุ้นออกในภายหลังจะต้องเสนอขายให้กับบริษัทเป็นลำดับแรก อย่างไรก็ตามบริษัทยังไม่สามารถกำหนดระยะเวลาที่ได้ข้อสรุปแน่นอนได้ เนื่องจากดีลซื้อกิจการแต่ละดีลใช้ระยะเวลาการศึกษาไม่ต่ำกว่า 6 เดือน
ด้านแนวโน้มผลการดำเนินงานของบริษัทในปีนี้คาดว่าจะทำสถิติสูงสุด จากในปีที่แล้วที่มีกำไรสุทธิระดับ 1.68 พันล้านบาท เนื่องจากในปีนี้บริษัทมีการควบคุมต้นทุนอย่างเข้มงวด อย่างเช่น การจดทะเบียนตั้งสำนักงานในต่างประเทศ ทำให้ค่าใช้จ่ายของพนักงานในต่างประเทศลดลงราว 10 ล้านบาท และควบคุมต้นทุนด้านการตลาดโดยเฉพาะธุรกิจอาหาร เพื่อทำให้อัตรากำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย,ภาษี ,ค่าเสื่อม และค่าจัดจำหน่าย (EBITDA Margin) ในปีนี้อยู่ในระดับไม่ต่ำกว่า 13% ขณะที่รายได้ในปีนี้บริษัทตั้งเป้าอยู่ที่ 2.05 หมื่นล้านบาท
นอกจากนี้ธุรกิจโรงแรมของบริษัทยังมีแนวโน้มที่ดีขึ้นโดยเฉพาะอัตราการเข้าพัก ยังมีแนวโน้มอยู่ในระดับที่ดีมากกว่า 80% ในแต่ละไตรมาส แม้ว่าไตรมาส 2/59 อัตราการเข้าพักของบริษัทจะอยู่ที่ 83% ลดลงจาก 87% ในไตรมาส 1/59 เนื่องจากในไตรมาส 2 เป็นช่วงโลว์ซีซั่นของโรงแรมในต่างจังหวัดในช่วงเดือนพ.ค.-มิ.ย. โดยเฉพาะโรงแรมในภูเก็ตและพัทยาที่จำนวนนักท่องเที่ยวที่เข้าพักไม่เป็นไปตามเป้าหมาย แต่ในส่วนของอัตราเฉลี่ยรายได้ต่อจำนวนห้องพัก (RevPar) นั้นมีแนวโน้มดีขึ้นจากไตรมาส 1/59 อยู่ที่ 1.5% โดยในช่วงเดือนเม.ย. RevPar อยู่ที่ 1.4% และเดือนพ.ค.อยู่ที่ 3% ซึ่งเป็นผลมาจากโรงแรมในกรุงเทพฯมีการเข้าพักของนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางมาประชุมงานเพิ่มมากขึ้น ทำให้โรงแรมสามารถปรับอัตราค่าห้องพักเพิ่มขึ้นได้อีกเล็กน้อย ซึ่งเดือนพ.ค.อัตราราคาห้องพักเฉลี่ย (ARR) ของบริษัทกลับมาเป็นบวกที่ 1% จากเดือนเม.ย.ที่ติดลบ 1.6%
ทั้งนี้บริษัทยังคงเป้าหมายธุรกิจโรงแรมมีอัตราการเข้าพักในปีนี้อยู่ที่ 81-82% มีรายได้เฉลี่ยต่อห้องต่อคืนเติบโต 4-5% ซึ่งเติบโตต่ำกว่าปีก่อนที่ 7% เนื่องจากฐานรายได้ของธุรกิจโรงแรมใหญ่ขึ้น และมีราคาค่าห้องพักเติบโต 4-5% อีกทั้งมีแผนใช้เงินลงทุนในธุรกิจโรงแรม 600 ล้านบาท เพื่อปรับปรุงและก่อสร้างโรมแรมในปัจจุบันและโครงการในอนาคต
นอกจากนี้ในส่วนของโรงแรมในมัลดีฟส์ตั้งงบไว้ที่ 100 ล้านบาท เพื่อใช้สำหรับรีโนเวทห้องพักโรงแรมในบางส่วนในช่วงโลว์ซีซั่นในไตรมาส 2/59 และจะมีกำหนดเปิดให้บริการอีกในช่วงไตรมาส 4/59 ทั้งนี้บริษัทตั้งเป้าในสิ้นปีนี้มีจำนวนโรงแรมทั้ง 40 โรงแรม มีจำนวนห้องพัก 7,720 ห้อง และตั้งเป้าระยะยาวในปี 63 มีจำนวนโรงแรมทั้งหมด ไม่ต่ำกว่า 70 โรงแรม และมีจำนวนห้องพักไม่ต่ำกว่า 15,000 ห้อง
ด้านนางสาวนันทนา เตชะบุญประทาน รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ฝ่ายบัญชีและการเงิน CENTEL กล่าวเสริมว่า สำหรับธุรกิจอาหารปีนี้ตั้งเป้ารายได้อยู่ที่ 1.1 หมื่นล้านบาท และมี EBITDA Margin ไม่ต่ำกว่า 13% โดยจะมาจากการเติบโตสาขาเดิม (SSSG) ราว 1% โดยปัจจุบัน SSSG ถือว่าปรับตัวเป็นบวกราว 0.7% หลังไตรมาส 1/59 ติดลบที่ 0.01% ขณะที่ยอดขายของสาขาทั้งหมด (TSS) ปีนี้คาดว่าจะเติบโตประมาณ 5-6% จากปัจจุบันเติบโตอยู่ที่ 4.8% ทั้งนี้แบรนด์ที่เป็นปัจจัยหลักสนับสนุนการเติบโตของธุรกิจอาหาร คือ KFC อานตี้ แอนส์ โอโตยะ และมิสเตอร์ โดนัท
ส่วนปีนี้บริษัทเตรียมงบลงทุนสำหรับธุรกิจอาหารราว 600 ล้านบาท โดยจะใช้สำหรับการปรับปรุงสาขาเดิมรวมไปถึงการเปิดสาขาใหม่ ซึ่งปีนี้บริษัทตั้งเป้าเปิด 58 สาขา แต่บริษัทก็จะมีการปิดสาขาเดิมที่ไม่สร้างกำไรด้วย ทำให้สินปีคาดว่าจะมีสาขาทั้งสิ้น 830 สาขา จากปัจจุบัน 800 สาขา หรือมีแบรนด์อาหารจำนวน 12 แบรนด์ นอกจากนี้บริษัทยังเตรียมงบสำหรับการเข้าซื้อกิจการอาหารและร่วมทุนกิจการอาหารทั้งในประเทศและต่างประเทศกว่า 500 ล้านบาท อย่างไรก็ดีจากการขยายธุรกิจบริษัทตั้งเป้าว่าปี 63 จะมีสาขามากกว่า 1 พันสาขา