นายธรรศพลฐ์ แบเลเว็ลด์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.เอเชีย เอวิเอชั่น (AAV) ยืนยันว่าจะบริหาร AAV ต่อไปร่วมกับตัวแทนของกลุ่มคิงเพาเวอร์หลังขายหุ้นส่วนใหญ่ให้กลุ่มของนายวิชัย "คิงเพาเวอร์"พร้อมทั้งย้ำว่า AAV จะยังคงแผนงานในปีนี้ที่จะรับมอบเครื่องบินให้ครบ 51 ลำ ขณะที่คาดการณ์จำนวนผู้โดยสารอยู่ที่ 17 ล้านคน อัตราส่วนบรรทุกผู้โดยสาร (Load Factor) อยู่ที่ 83%
"ทุกคนทีมบริหารยังอยู่เหมือนเดิม ผมจะบริหารที่นี่อย่างน้อย 5 ปี เพื่อให้เกิดความเชื่อมั่นกับผู้ถือหุ้น"นายธรรศพลฐ์ กล่าวในงานแถลงข่าวกรณีกลุ่มวิชัย ศรีวัฒนประภา ประธานกรรมการกลุ่มบริษัทคิงเพาเวอร์เข้าซื้อหุ้น AAV สัดส่วน 39%
พร้อมย้ำว่า แผนธุรกิจของ AAV ยังเหมือนเดิมที่จะมีรายได้เติบโตปีละ 20% และซื้อเครื่องบินปีละ 5 ลำต่อเนื่อง และมุ่งเป้าหมายกลุ่ม CLMV รวมทั้งจีน และอินเดีย โดยที่ผ่านมามีผู้โดยสารชาวจีนมากสุด สัดส่วน 20% ของผู้โดยสารทั้งหมด อย่างไรก็ดี เมื่อกลุ่มคิงเพาเวอร์ซึ่งมีคอนเนคชั่นดีในตลาดต่างประเทศ โดยเฉพาะกลุ่มทัวร์ในประเทศจีนก็มีความเป็นไปได้จะสั่งซื้อเครื่องบินเพิ่มมากกว่านี้ เป็นการต่อยอดธุรกิจ และ AAV มีโอกาสเติบโตแบบก้าวกระโดด ทั้งนี้ในสัปดาห์หน้าผู้บริหารทั้ง 2 กลุ่มจะมีการหารือแผนธุรกิจร่วมกัน โดยมีโอกาสเปิดเส้นทางบินในจีนเพิ่มขึ้นจากที่สายการบินไทยแอร์เอเชียมีหลายจุดบินในจีน และมีโอกาสทำการบินแบบเช่าเหมาลำให้กับนักท่องเที่ยวจีนมากขึ้น เพราะคิงเพาเวอร์มีคอนเนคชั่นที่ดีกับกลุ่มทัวร์ในจีน
"เหตุผลที่ร่วมมือกับคิงเพาเวอร์เพราะว่า 13 ปีไทยแอร์เอเชียล้มลุกคลุกคลาน และมาประสบความสำเร็จใน 5-6 ปีหลัง เรามีมาร์เก็ตแชร์มากที่สุด ตอนนี้ AAV น่าจะโตสูงสุด วันนี้เราอยากโตต่อ รักษาอัตราการเติบโตปีละ 20% การได้คิงเพาเวอร์มา ผมมองว่า 1+1 เป็น 3 หรือ 4 หรือ 5 จุดแข็งของคิงเพาเวอร์จะทำให้เราเติบโตต่อไปได้"
นายธรรศพลฐ์ กล่าวว่า จากที่กลุ่มคิงเพาเวอร์เข้ามาซื้อกิจการ AAV จะไม่ทำให้โครงสร้างธุรกิจของ AAV เปลี่ยนแปลง ยังคงดำเนินธุรกิจสายการบินต้นทุนต่ำต่อไปอย่างแน่นอน และไม่คิดว่ากลุ่มคิงเพาเวอร์จะเข้ามาเพื่อทำแบคดอร์ลิสติ้ง
ทั้งนี้ ราคาซื้อขายหุ้น AAV ที่ราคา 4.20 บาท/หุ้นนั้น นายธรรศพลฐ์ กล่าวว่า เป็นราคาที่ทั้งสองฝ่ายพึงพอใจ ไม่ได้คำนวณจากพื้นฐานใด หรืออ้างอิงกับราคาตลาด ซึ่งเทียบไม่ได้กับราคาปิดเมื่อวานนี้ที่ 6 บาท/หุ้น และคาดว่าราคาที่ทำคำเสนอซื้อจากผู้ถือหุ้นส่วนที่เหลืออีก 60.17% ที่ราคา 4.20 บาท/หุ้นนั้นก็อยู่ในช่วงราคาที่ยอมรับได้
นายธรรศพลฐ์ กล่าวว่า ที่ผ่านมาได้เจรจากับพันธมิตรหลายกลุ่มแต่ทุกรายจะติดปัญหาที่ต้องเข้ามาถือหุ้น AAV ที่เป็นบุคคลธรรมดาซึ่งต้องมีกำลังซื้อสูง ทั้งนี้เป็นไปตามกฎระเบียบของใบอนุญาตเดินอากาศที่ต้องมีบุคคลธรรมดาถือหุ้นสัดส่วน 51% ที่ผ่านมาจึงหาได้ยากจนได้เจรจากับกลุ่มคิงเพาเวอร์มาเป็นพันธมิตรและเข้าถือหุ้นในนามบุคคล
ส่วนกรณีที่ตลาดหลักทรัพย์ฯให้ชี้แจงกรณีผู้ถือหุ้นใหญ่ของบริษัทขายหุ้นออก ซึ่งบริษัทได้เคยปฏิเสธข่าวนั้น นายธรรศพลฐ์ กล่าวว่า เรื่องการซื้อขายหุ้น AAV ครั้งนี้เป็นเรื่องส่วนตัวจึงไม่ได้นำเข้าเสนอคณะกรรมการบริษัท ฉะนั้นทางบริษัทจึงไม่ได้รับรู้เรื่องดังกล่าว และก่อนหน้ามีการพูดคุยกันได้ระยะหนึ่งโดยเพิ่งจะบรรลุข้อตกลงราคาซื้อขายเมื่อวันที่ 12 มิ.ย.ที่ผ่านมา
นายวิชัย ศรีวัฒนประภา ประธานกรรมการกลุ่มบริษัท คิงเพาเวอร์ กล่าวว่า การเข้าซื้อครั้งนี้เป็นการ synergy ธุรกิจที่ต่างอยู่ในธุรกิจท่องเที่ยว ซึ่งเป็นอุตสาหกรรมที่ช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ โดย 2 บริษัทจะนำจุดแข็งมาทำให้ธุรกิจเติบโตขึ้น โดยคิงเพาเวอร์ดำเนินธุรกิจ Duty Free มา 21 ปี ทำให้มีกลุ่มลูกค้าต่างประเทศมากโดยเฉพาะนักท่องเที่ยวชาวจีนที่มีฐานอยู่ 6-7 ล้านคน/ปี ขณะที่สายการบินไทยแอร์เอเชียมีผู้โดยสารจากจีนมากที่สุด และคนไทยก็เดินทางมากขึ้น เฉลี่ย 2-3 ครั้ง/ปี ยิ่งทำให้ธุรกิจสายการบินต้นทุนต่ำเติบโตมากขึ้น โดยที่ผ่านมาตนเองเคยคิดจะดำเนินธุรกิจสายการบินหลังเห็นการเติบโตของธุรกิจท่องเที่ยว
"เราเลือกเข้าซื้อช่วงนี้เพราะ 2 บริษัทเติบโตแข็งแรงจึงมองเป็นโอกาสดีมากของทั้งสองบริษัท เพื่อให้เติบโดมากขึ้น เราซื้อหุ้นจากกลุ่มคุณธรรศพลฐ์ 39% มูลค่า 7.9 พันล้านบาท เป็นการถือหุ้นในนามครอบครัว เพื่อลงทุนระยะยาว"นายวิชัย กล่าว
ทั้งนี้ นายวิชัยคาดว่าจะสามารถคืนทุนได้ภายใน 8 ปี จากการได้เงินปันผลทยอยกลับเข้ามา และยืนยันว่าไม่คิดเพิกถอน AAV ออกจากตลาดหลักทรัพย์ฯ
นอกจากนี้ กลุ่มคิงเพาเวอร์มีแผนเตรียมเข่าร่วมประมูลพื้นที่ Duty Free ในสนามบินอู่ตะเภา และในอีก 6-7 เดือนจะปรับปรุงสำนักงานที่ซอยรางน้ำเพื่อขยายการรองรับนักท่องเที่ยวจีนที่จะเข้ามากในช่วงเดือนมี.ค. -เม.ย. โดยจะใช้งบลงทุนราว 5 พันล้านบาท
ด้านนายอัยยวัฒน์ ศรีวัฒนประภา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มบริษัท คิงเพาเวอร์ และ กรรมการ AAV กล่าวว่า หลังเข้าถือหุ้น AAV มีแผนขยายฐานลูกค้าจีนที่เดินทางเข้าไทยมากขึ้น ซึ่งสายการบินไทยแอร์เอเชียมีผู้โดยสารชาวจีนมากที่สุด ขณะที่คิงเพาเวอร์ก็มีลูกค้าชาวจีนมากเหมือนกัน จึงเห็นว่าจะมีการขยายเส้นทางการบินไปจีนมากขึ้น และขายสินค้าบนไฟลท์ได้มากขึ้นรวมถึงส่งของได้ในคราวเดียวกันทำให้ให้บริการในรูปแบบ one stop shop ประกอบกับการบริหารของผู้บริหาร AAV ทำได้ดี น่าเชื่อถือและก็จะบริหารต่อไป การเข้ามาร่วมมือจะทำให้ AAV เติบโตได้มากขึ้นทุกๆปี