นายชัชชวี วัฒนสุข ประธานกรรมการบริหาร บมจ.ที.เอ.ซี.คอนซูเมอร์ (TACC) คาดว่ายอดขายในไตรมาสที่ 2/59 จะเติบโตต่อเนื่องจากไตรมาส 1/59 ที่มียอดขาย 283.22 ล้านบาท เนื่องจากเป็นช่วงที่เข้าสู่ฤดูร้อนทำให้ยอดขายชา และกาแฟเย็นในร้านสะดวกซื้อ 7-Eleven เพิ่มขึ้นอย่างโดดเด่น โดยบริษัทวางงบลงทุนไม่มากนักสำหรับการเพิ่มกำลังการผลิตเครื่องแพ็ค ซึ่งเป็นไปตามการขยายจุดจำหน่ายทั้งกาแฟลาเต้ และมุมกาแฟสดเพิ่มขึ้น ทั้งนี้ บริษัทได้รับโอกาสจาก 7-Eleven ให้เพิ่มจุดจำหน่ายกาแฟลาเต้ขึ้น 25% เป็น 5,000 แห่ง ตั้งแต่ต้นปี เนื่องจากเป็นสินค้าที่ได้รับความนิยมเพิ่มสูงขึ้น ขณะที่ในส่วนของชานม ชาเย็น และชามะนาว ในมุมกาแฟสด เติบโตตามการขยายจำนวนมุมกาแฟสด (All Cafe) ในร้าน 7-Eleven กว่าเท่าตัว โดยเพิ่มเป็น 2,300 จุด จากปีก่อนมีเพียง 1,000 จุด ในช่วงเดียวกัน
ขณะเดียวกันยอดขายชาเขียวเซนย่า ในประเทศกัมพูชาก็เพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัวเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน หลังจากมีการตั้งตัวแทนจำหน่ายในประเทศกัมพูชา ซึ่งมั่นใจว่าภาพรวมในปีนี้ชาเขียวเซนย่า ซึ่ง TACC เป็นผู้นำตลาดในกัมพูชา ทำให้สัดส่วนรายได้ที่มาจากสินค้าที่จำหน่ายออกสู่ผู้บริโภคโดยตรง (B2C) ในไตรมาสที่ 1/59 เพิ่มขึ้นเป็น 17% จากเดิม 14%
สำหรับแผนการดำเนินงานในช่วงครึ่งปีหลังของปี 59 บริษัทยังคงเดินหน้าติดตั้งเครื่องกดเครื่องดื่มร้อนอัตโนมัติ (Hot Beverage Dispenser) ให้ครบ 750 เครื่องตามแผน โดยล่าสุดในเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมามียอดติดตั้งรวม 138 เครื่อง โดยในปี 60 เตรียมติดตั้งเพิ่มอีก 750 เครื่อง รวมเป็น 1,500 เครื่อง กระจายใน 7-Eleven ทั่วประเทศ
"แนวโน้มผลการดำเนินงานในปี 59 คาดว่ารายได้จะเติบโตไม่ต่ำกว่า 15% ตามแผน ซึ่งยังไม่นับรวมกับรายได้จากธุรกิจใหม่ การเป็นตัวแทนจำหน่ายสินค้าลิขสิทธิ์คาแร็คเตอร์ ตัวการ์ตูนชั้นนำในกลุ่ม Sanrio แต่เพียงผู้เดียวใน 7-Eleven ซึ่งจะเริ่มวางจำหน่ายสินค้าลิขสิทธิ์ในเดือนสิงหาคม-ธันวาคมนี้ มั่นใจว่าจะช่วยผลักดันยอดขายเติบโตอย่างแข็งแกร่ง"นายชัชชวี กล่าว
ทั้งนี้ TACC ได้รับสิทธิในการผลิตและจำหน่ายสินค้า โดยใช้ตัวการ์ตูน 5 คาแร็ตเตอร์ ประกอบด้วย Hello Kitty, Kerokerokeropi, Pompompurin, Bad badtzmaru, My Melody ในประเทศไทย ผ่านร้านสะดวกซื้อ 7-Eleven โดยสินค้าที่บริษัทได้รับสิทธิครอบคลุม 5 กลุ่มสินค้าหลัก ได้แก่ 1.Stationary 2. Non-Food เช่น ถ้วย กระเป๋าใส่เหรียญ พวงกุญแจ เป็นต้น 3.Cosmetic4.Beverage และ 5. Processed Food สัญญาดังกล่าวมีระยะเวลา 5 เดือน เริ่มตั้งแต่วันที่ 1 ส.ค.-31 ธ.ค.59 ซึ่งบริษัทสามารถต่อสัญญาได้โดยแจ้ง Sanrio Wave Hong Kong Co., Ltd. ล่วงหน้าอย่างน้อย 1 เดือนก่อนวันที่สัญญาจะสิ้นสุดลง โดยบริษัทตั้งเป้าจะมีรายได้จากการขายสินค้าดังกล่าวมากกว่า 40 ล้านบาท
นายชัชชวี กล่าวว่า บริษัทเตรียมขยายตลาดไปยังประเทศกัมพูชา จีน และลาว ซึ่งถือเป็นตลาดที่มีศักยภาพ เพื่อรองรับการเติบโตที่แข็งแกร่ง หลังเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) โดยตั้งเป้าหมายเพิ่มสัดส่วนรายได้จากต่างประเทศเพิ่มเป็น 12% จากปีที่ผ่านมาอยู่ที่ 8% ของรายได้รวม ขณะที่จะยังคงรักษาอัตรากำไรขั้นต้นไว้ที่ระดับไม่ต่ำกว่า 30% และอัตรากำไรสุทธิที่ 7%
"สิ่งที่จะผลักดันรายได้ในปีนี้ให้เติบโตไปได้ตามเป้าหมาย จะมาจากกลุ่ม B2B คือการเพิ่มจุดขายกาแฟลาเต้ และการขยาย All Cafe รวมถึงคาแร็คเตอร์ ตัวการ์ตูนกลุ่ม Sanrio ที่จะวางจำหน่ายในเดือนสิงหาคมนี้ รวมถึง B2C คือ การขายชาเขียวพร้อมดื่มเซนย่า ในกัมพูชา ที่จะเติบโตอย่างก้าวกระโดด และเครื่องดื่มทุเรียน มะม่วง ที่จะเป็น new product ที่จะส่งขายในเมืองจีนในไตรมาส 3/59 ก็คาดหวังว่าจะได้รับผลตอบรับที่ดี"นายชัชชวี กล่าว