นายแมทธิว กิจโอธาน ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและประธานกรรมการ บมจ.เวฟ เอ็นเตอร์เทนเมนท์ (WAVE) กล่าวว่า บริษัทตั้งเป้าหมายในปี 61 จะมีรายได้ขึ้นไปแตะระดับ 8,000 ล้านบาท หากมีข้อสรุปขยายธุรกิจทั้งในส่วนของธุรกิจการศึกษา และธุรกิจอาหาร ที่ปัจจุบันอยู่ระหว่างมองหาการเข้าซื้อกิจการ และการร่วมลงทุน ทั้งในประเทศและต่างประเทศ ที่ยังมีแนวโน้มการขยายตัวอีกมาก
ขณะที่มั่นใจว่าในปีนี้จะทำกำไรสุทธิได้ดีกว่าปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 36.34 ล้านบาท แม้ว่าในไตรมาส 1/59 จะมีผลขาดทุนอยู่ 3.98 ล้านบาทก็ตาม โดยกำไรสุทธิที่เติบโตเป็นไปตามการขยายตัวของรายได้ที่ปีนี้ตั้งเป้าไว้ที่ระดับ 3,600 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากระดับ 2,280 ล้านบาทในปีที่แล้ว โดยจะมีสัดส่วนรายได้จากธุรกิจสถาบันสอนภาษาวอลล์สตรีท อิงลิช 845 ล้านบาท ที่ปัจจุบันมีอยู่ 10 สาขา หลังในปีนี้ได้ขยายสาขาไปแล้ว 1 แห่ง ด้วยงบลงทุน 14 ล้านบาท ซึ่งบริษัทวางเป้าหมายภายใน 5 ปีจะมีสาขารวมเป็น 20 สาขา และยังมองแนวทางการขยายไปยังต่างประเทศเพิ่มเติมด้วย
สำหรับธุรกิจภัตตาคาร ในส่วน Jeffer Steak คาดว่าจะมีรายได้ในปีนี้ราว 832 ล้านบาท ซึ่งบริษัทตั้งเป้าที่จะขยายสาขาเพิ่มอีก 6-10 แห่ง ด้วยงบลงทุน 4 ล้านบาท/สาขา จากปัจจุบันมีสาขารวมทั้งหมด 80 สาขา และใน 5 ปี จะขยายให้ครบ 200 สาขา และยังมีแผนที่จะขายในรูปแบบแฟรนไชส์เพิ่มเติมด้วย ส่วนธุรกิจรับจ้างผลิตและจำหน่ายรายการทางโทรทัศน์ คาดมีรายได้ 115 ล้านบาท ซึ่งปีนี้บริษัทมีการผลิตละครทั้งหมด 8 เรื่อง ขณะที่ธุรกิจคอนเสิร์ต ภายใต้การดูแลของ I-Wave ในปีนี้คาดว่าจะมีรายได้ราว 200 ล้านบาท โดยจะมีการจัดงานคอนเสิร์ต 8 งาน นอกจากนี้ยังจะรับรู้รายได้จากการเข้าลงทุนในบมจ.อินเด็กซ์ ครีเอทีฟ วิลเลจ เข้ามาเต็มปี หรือที่ราว 1.6 พันล้านบาท หลังจากที่ได้ซื้อหุ้น 50% ในบริษัทดังกล่าวในช่วงครึ่งหลังปีก่อน
"ปีนี้ในหลาย ๆ ธุรกิจปรับตัวดีขึ้น ทั้งงานการผลิตละครที่ปีก่อนไม่มีแต่ปีนี้ก็เข้ามาถึง 8 เรื่อง การจัดงานอีเว้นท์ ก็เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ช่วงต้นปีที่ผ่านมา นอกจากนี้ธุรกิจอาหารและการศึกษาก็ยังมีแนวโน้มที่ดี ทำให้เรามั่นใจว่าทั้งปีจะมีผลกำไรที่ดีกว่าปีก่อนแน่นอน แม้ไตรมาส 1/59 จะมีผลขาดทุนอยู่ราว 3 ล้านบาท ซึ่งเป็นผลจากการบันทึกสัดส่วนกำไรเท่ากับสัดส่วนที่ถือหุ้น แต่บันทึกค่าใช้จ่ายเข้ามา 100% ทำให้เรามีผลขาดทุนทางบัญชีเกิดขึ้น"นายแมทธิว กล่าว
นายแมทธิว กล่าวเพิ่มเติมว่า บริษัทอาจจะพิจารณาขายหุ้น บมจ.ไทย โซล่าร์ เอ็นเนอร์ยี่ (TSE) ที่ถือหุ้นอยู่ในสัดส่วนราว 20% หากได้ราคาที่เหมาะสม และมีความจำเป็นในการใช้เงิน ซึ่งปัจจุบันก็มีผู้สนใจที่เข้ามาเจรจาเป็นระยะ ๆ ไม่ว่าจะเป็นกองทุนในประเทศ หรือต่างประเทศ
"มีคนเข้ามาเจรจากับเราเยอะเหมือนกัน ไม่ว่าจะเป็นกองทุนพลังงานทางเลือกในต่างประเทศ หรือกองทุนในประเทศ แต่เรายังไม่ได้มีความจำเป็น และมองว่าราคายังไม่ได้มีความเหมาะสม เพราะ TSE เป็นบริษัทที่ประกอบธุรกิจเกี่ยวกับพลังงานทดแทนที่ยังมีแนวโน้มการเติบโตอีกมาก"นายแมทธิว กล่าว