นายพิชิต วิวัฒน์รุจิราพงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ. เน็ตเบย์ (NETBAY) เปิดเผยว่า บริษัทพร้อมนำหุ้นเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ เป็นวันแรก ในวันที่ 16 มิ.ย.นี้ หลังได้เสนอขายหุ้น IPO จำนวน 40 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้ (พาร์) หุ้นละ 1 บาท ในราคาจองซื้อ 4 บาทต่อหุ้น เมื่อวันที่ 8-10 มิ.ย.59 โดยมีความมั่นใจว่าหุ้น NETBAY จะได้รับความสนใจและการตอบรับที่ดีจากนักลงทุน
ทั้งนี้ บริษัทมีประสบการณ์ดำเนินธุรกิจมากว่า 10 ปี โดยเป็นผู้พัฒนาเทคโนโลยีซอฟท์แวร์ e-Logistics Trading และ e-Business Services ที่ให้บริการครอบคลุมตั้งแต่ต้นน้ำ (ลูกค้าที่ใช้บริการ) กลางน้ำ (ระบบ Gateway ของบริษัทฯ) และปลายน้ำ (การเชื่อมโยงการทำธุรกรรมกับหน่วยงานต่างๆ) อย่างครบวงจร เกิดประโยชน์แก่ทุกฝ่าย พร้อมทั้งเป็นศูนย์กลางการให้บริการรับ-ส่งและเชื่อมโยงข้อมูลธุรกรรมทางออนไลน์ระหว่างหน่วยงานต่างๆ จากจุดเดียว (Omni Channel Connectivity Gateway) ซึ่งครอบคลุมตั้งแต่ศูนย์ประมวลผล ศูนย์ประมวลผลสำรอง ระบบซอฟท์แวร์ปฏิบัติการที่ใช้รองรับการทำธุรกรรมรับ-ส่งข้อมูล ระบบเครือข่ายและระบบป้องกันความปลอดภัยข้อมูลเพื่อให้ลูกค้าได้รับความสะดวกรวดเร็ว ลดขั้นตอนและลดต้นทุนจากการรับ-ส่งข้อมูลทางอิเล็กทรอนิกส์ แทนการใช้เอกสาร
สำหรับจุดแข็งของบริษัทคือมีความแตกต่างจากผู้ประกอบการรายอื่นในอุตสาหกรรม ICT ซึ่งส่วนใหญ่เป็นผู้จัดจำหน่ายและติดตั้งอุปกรณ์ฮาร์ดแวร์ ซอฟท์แวร์และเน็ตเวิร์ค ให้แก่ลูกค้าภาครัฐหรือเอกชนเป็นรายโครงการ (Software Integrators) หรือเป็นผู้ประกอบการที่รับจ้างผลิตและพัฒนาซอฟท์แวร์ (Software House) แต่ บมจ.เน็ตเบย์ นับเป็นผู้ประกอบการรายแรก ๆ ที่ให้บริการในรูปแบบ Software as a Service (SaaS) หรือซอฟท์แวร์ที่ให้บริการผ่านระบบออนไลน์ภายใต้แนวคิด Better Faster Cheaper โดยลูกค้าจะไม่ต้องใช้เงินจำนวนมากในการลงทุนซื้อซอฟท์แวร์ รวมถึงไม่ต้องจ่ายค่าลิขสิทธิ์และค่าบำรุงรักษารายปี ขณะเดียวกันยังช่วยเพิ่มความสะดวกรวดเร็วในการรับ-ส่งข้อมูลผ่านระบบออนไลน์เพื่อทดแทนการใช้เอกสาร รวมถึงช่วยควบคุมต้นทุนเนื่องจากจะคิดค่าใช้บริการตามปริมาณการใช้งานจริงหรือคิดค่าใช้จ่ายเป็นรายเดือน ส่งผลให้รายได้ของบริษัทฯ มีความมั่นคงสม่ำเสมอและเติบโตตามฐานจำนวนผู้ใช้บริการที่เพิ่มขึ้น
ปัจจุบันบริษัทฯ มีบริการแบ่งเป็น 3 กลุ่มหลัก ได้แก่ 1.กลุ่มบริการ e-Logistic Trading เป็นการให้บริการรับ-ส่งข้อมูลทางอิเล็กทรอนิกส์แบบไร้เอกสาร (Paperless) เกี่ยวกับพิธีการศุลกากร 2.กลุ่มบริการ e-Business Services ได้แก่ การรายงานข้อมูลธุรกรรมลูกค้าที่ทำธุรกรรมกับสถาบันการเงินและให้บริการข้อมูลในการตรวจสอบเพื่อทราบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับลูกค้า และ 3.กลุ่ม Projects และอื่นๆ ได้แก่ การพัฒนาระบบงานสารสนเทศภายในแก่หน่วยงานต่างๆ เพื่อเตรียมพร้อมเข้าสู่ยุคดิจิตอล (Digital Business Transformation)
นอกจากนี้ ยังมีแผนขยายการให้บริการธุรกรรมข้อมูลผ่านระบบออนไลน์ไปยังฐานลูกค้ากลุ่มใหม่ โดยอยู่ระหว่างพัฒนาโครงการ e-DLT (Department of Land Transport) เพื่อให้บริการรับ-ส่งและเชื่อมโยงข้อมูลการชำระภาษีรถยนต์ทุกประเภทระหว่างกลุ่มผู้ให้บริการสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์กับกรมการขนส่งทางบก คาดว่าจะเปิดให้บริการได้ภายในปีนี้ ซึ่งขึ้นอยู่กับนโยบายและข้อกำหนดของกรมการขนส่งทางบก โดยระบบดังกล่าวจะส่งผลดีต่อผู้ให้บริการสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์ สามารถชำระภาษีรถยนต์ทุกประเภททางระบบอิเล็กทรอนิกส์ได้หลายรายการพร้อมกันในคราวเดียว เพื่อเพิ่มความสะดวกรวดเร็วและลดค่าใช้จ่ายการชำระภาษีรถยนต์ รวมถึงช่วยลดภาระให้แก่เจ้าหน้าที่กรมการขนส่งทางบก
“เราเชื่อมั่นว่าจะสามารถสร้างรายได้ประจำที่มั่นคงในระยะยาวและผลักดันการเติบโต จากการขยายฐานลูกค้าผู้ใช้บริการธุรกรรมออนไลน์ไปยังกลุ่มธุรกิจอื่น ๆ เนื่องจากภาครัฐและภาคเอกชนให้ความสำคัญกับการใช้เทคโนโลยีดิจิตอลออนไลน์ทดแทนการใช้งานด้านเอกสาร เพื่ออำนวยความสะดวกและเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันทางธุรกิจที่ดีขึ้น จึงเป็นโอกาสของ NETBAY ในการให้บริการแก่ลูกค้า"นายพิชิต กล่าว
นายมนตรี ศรไพศาล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารร่วม บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงินและผู้จัดการการจัดจำหน่าย กล่าวว่า จากพื้นฐานธุรกิจที่แข็งแกร่งของเน็ตเบย์ ซึ่งเป็นผู้คิดค้นและพัฒนานวัตกรรมทางเทคโนโลยีที่ล้ำสมัยของตนเองเพื่อสร้างความแตกต่างจากคู่แข่ง ช่วยให้ลูกค้าลดขั้นตอนและความซับซ้อนในการรับ-ส่งและเชื่อมโยงข้อมูลธุรกรรมทางออนไลน์ จึงทำให้เน็ตเบย์มีฐานรายได้ที่เติบโตอย่างสม่ำเสมอจากปริมาณลูกค้าที่มาใช้บริการธุรกรรมทางออนไลน์ที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง
ผลการดำเนินงานในปี 56-58 เน็ตเบย์ มีรายได้จากการให้บริการ 149.30, 184.74 และ 223.81 ล้านบาทตามลำดับ ขณะที่ไตรมาส 1/59 มีรายได้จากการให้บริการรวมทั้งสิ้น 63.93 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 24.45% และมีกำไรสุทธิ 19.2 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 16.88% สะท้อนถึงขีดความสามารถการทำรายได้และกำไรที่ดี นอกจากนี้ยังมีอัตราส่วนหนี้สินต่อส่วนของผู้ถือหุ้น ณ วันที่ 31 มี.ค.59 เพียง 0.42 เท่า (ปัจจุบันไม่มีภาระหนี้สินที่มีดอกเบี้ย) สะท้อนว่าบริษัทมีสถานะทางการเงินที่แข็งแกร่ง