หุ้น NETBAY ปิดเทรดวันแรกที่ 11.30 บาท เพิ่มขึ้น 7.30 บาท (+182.50%) จากราคาขาย IPO ที่ 4 บาท/หุ้น มูลค่าซื้อขาย 2,654.58 ล้านบาท โดยราคาเปิดตลาดที่ 8.50 บาท ราคาขึ้นสูงสุด 11.70 บาท และราคาลงต่ำสุด 8.30 บาท
บล.ทิสโก้ ระบุในบทวิเคราะห์ฯประเมินมูลค่าพื้นฐานของ บมจ.เน็ตเบย์ (NETBAY) ปี 59 ที่ 5.15 บาท ด้วยวิธี Relative Approach อิง PER ที่ 14 เท่า ซึ่งอยู่ในระดับที่สูงกว่าอุตสาหกรรมที่ 12.7 เท่า โดยเราให้ Premium เหนือกลุ่ม 10.7% เพราะคุณภาพของรายได้และกำไรนั้นมั่นคงกว่า เนื่องจากมีลักษณะเป็น Recurring มี Churn rate ที่ต่ำ เพราะมี Switching cost สูง โอกาสในการเติบโตในอนาคตนั้นขึ้นอยู่กับความพร้อมของตลาดเป็นหลักซึ่งมีแนวโน้มให้ถูกเปลี่ยนแปลงมาเป็นระบบ Digital เนื่องจากได้ประโยชน์ทั้งการลดต้นทุนและเพิ่มความคล่องตัวให้กับองค์กรนั้น ๆ อย่างเห็นได้ชัด
ผลประกอบการ Q1/59 ถือเป็น New High รายไตรมาสของบริษัท โดยมีกำไรสุทธิ 19.2 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 16.9% YoY จากรายได้ 63.9 ล้านบาทเพิ่มขึ้น 24.4% จากการขยายฐานลูกค้าใหม่และปริมาณการใช้ที่เพิ่มขึ้นของลูกค้าเดิม ขณะที่กำไรสุทธิที่เติบโตสูงถึง 51.6% QoQ หลักๆมาจากรายได้ที่เพิ่มขึ้น 9.1% ในขณะที่ SG&A ลดลง 6.3% เพราะไม่มีค่าใช้จ่ายโบนัสพนักงาน
ด้านอัตราการทำกำไรต่างๆทรงตัวในระดับสูงต่อเนื่อง โดยมีอัตรากำไรขั้นต้นสูงขึ้นเล็กน้อยที่ 78.7% เทียบกับ 77.0% ใน 1Q15 และ 78.0% ใน Q4/58 แต่ชดเชยกับ SG&A/Sales ที่เพิ่มขึ้นเป็น 47.9% แต่ยังใกล้เคียงกับประมาณการของทั้งปีเราที่ 47% ทำให้อัตรากำไรจากการดำเนินงานและกำไรสุทธิอยู่ที่ 31.9% และ 30% ตามลำดับ ขณะที่กำไรสุทธิ Q1/59 คิดเป็น 26% ของประมาณการ
NETBAY ถือเป็นผู้นำในการดำเนินธุรกิจด้านการพัฒนาซอฟต์แวร์และให้บริการครบวงจร (Software as a Service) โดยมีประสบการณ์ในการให้บริการกว่า 12 ปี และมีจุดเด่นของการมีรายได้อย่างต่อเนื่องในรูปแบบของ Recurring อีกทั้งหลีกเลี่ยงการลงทุนในสินทรัพย์ที่มีมูลค่าสูงตามกลยุทธ์การลงทุนแบบ Asset Light นอกจากนั้นยังเป็นมีส่วนแบ่งการตลาดเป็นอันดับ 1 ในทุกส่วนธุรกิจ โดยเฉพาะส่วนธุรกิจ e-Logistic ที่ให้บริการพิธีการศุลกากร ทางอิเล็กทรอนิกส์ เราคาดกำไรสุทธิในช่วง 3 ปีข้างหน้า (2016-18F) เติบโตเฉลี่ย 13% CAGR ต่อปี จากการขยายฐานลูกค้าเพิ่มเติมเข้ามาในระบบและการพัฒนาซอฟต์แวร์ขึ้นเองเพื่อให้บริการในโครงการ e-DLT