นายพุฒิพงศ์ ปราสาททองโอสถ กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บมจ.การบินกรุงเทพ (BA) เปิดเผยว่า บริษัทคาดว่ารายได้และกำไรในปีนี้จะทำสถิติสูงสุดใหม่ (New High) หลังจากไตรมาส 1/59 ทำรายได้อยู่ที่ 7,940 ล้านบาท และมีกำไรอยู่ที่ 1,550 ล้านบาท ซึ่งกำไรในไตรมาส 1/59 ถือว่าใกล้เคียงกับกำไรทั้งปีของปีก่อนที่ 1,790 ล้านบาท
โดยปัจจัยที่ทำให้รายได้และกำไรในปีนี้ทำนิวไฮเป็นผลมาจากการเพิ่มจำนวนเที่ยวบินและการเปิดเส้นทางการบินใหม่มากขึ้น ซึ่งตั้งแต่เดือนมกราคม-ปัจจุบัน บริษัทได้มีการเพิ่มเที่ยวบินระหว่างกรุงเทพ-พนมเปญ จาก 5 เที่ยวบิน/วัน เป็น 6 เที่ยวบิน/วัน ในเดือนมกราคมที่ผ่านมา
ในเดือนเมษายนบริษัทมีการเปิดเส้นทางใหม่ในประเทศ คือ เชียงใหม่-แม่ฮ่องสอน เดือนพฤษภาคมเปิดเส้นทางใหม่ในต่างประเทศ คือ กรุงเทพ-ดานัง จำนวน 4 เที่ยวบิน/สัปดาห์ ซึ่งคาดว่าในอีกไม่นานจะสามารถเพิ่มเที่ยวบินในเส้นทางดังกล่าวที่สามารถให้บริการได้ทุกวัน และอีกไม่นานนี้จะมีการเพิ่มจำนวนเที่ยวบินของเส้นทาง กรุงเทพ-เนปิดอว์ จาก 5 เที่ยวบิน/สัปดาห์ เป็น 6 เที่ยวบิน/สัปดาห์
อีกทั้งการที่กำไรของบริษัทได้เติบโตขึ้นนั้นมาจากราคาน้ำมันที่อยู่ในระดับต่ำ ซึ่งสายการบินบางกอกแอร์เวยส์และสายการบินอื่นๆ ต่างก็ได้ประโยชน์จากราคาน้ำมันที่อยู่ในระดับต่ำเช่นเดียวกัน
อีกปัจจัยที่ช่วยสนับสนุนผลการดำเนินงานของบริษัทให้เติบโตขึ้นและทำให้มีจำนวนผู้โดยสารเพิ่มขึ้น คือ การเป็นพันธมิตรในการให้บริการกับสายการบินต่างประเทศ (Code Share) โดยปัจจุบันบริษัทเป็นพันธมิตรให้บริการแบบ Code Share กับสายการบินต่างประเทศทั้งหมด 21 สายการบิน และคาดว่าภายในต้นปี 60 จะสามารถเพิ่มสายการบิน Code Share เป็น 25 สายการบิน ซึ่งปัจจุบันอยู่ระหว่างการเจรจากับสายการบินต่างประเทศอีก 4 สายการบิน ซึ่งหากได้ข้อสรุปแล้วนั้นจะต้องใช้ระยะเวลาค่อนข้างมากในการเชื่อมต่อระบบต่างๆ กับสายการบินพันธมิตร เพื่อรองกับการให้บริการที่จะเกิดขึ้นต่อไป
สำหรับการขยายฐานลูกค้าชาวจีนนั้น บริษัทจะเริ่มจากการใช้ท่าอากาศยานนานาชาติสมุยเป็นศูนย์กลาง (Hub) ในการขยายฐานลูกค้าชาวจีน โดยในปีนี้คาดว่าจะมีการเปิดเส้นทางการบินจากจีนอย่างน้อย 1 เส้นทาง จาก 3 เส้นทางที่บริษัทได้ศึกษา ได้แก่ สมุย-กว่างโจว, สมุย-เฉิงตู และสมุย-ฉงชิ่ง
นอกจากนี้ บริษัทยังอยู่ระหว่างการศึกษาขยายเส้นทางสมุยไปในยังประเทศอื่นๆ ใน CLMV เพื่อเชื่อมโยงการเดินทางระหว่างภูมิภาคและรองรับนักท่องเที่ยวในอนาคตที่เดินทางเข้ามาในภูมิภาค CLMV เป็นจำนวนมาก ซึ่งแผนการเพิ่มเส้นทางใหม่จากสมุยไปยัง CLMV เป็นแผนที่จะเกิดขึ้นในอีก 2-3 ปีข้างหน้า
บริษัทมีความสนใจที่จะใช้เชียงใหม่เป็นศูนย์กลางการเชื่อมโยงและรองรับการให้บริการการเดินทางเชื่อมโยงในกลุ่ม CLMV เนื่องจากเชียงใหม่เป็นจังหวัดที่มีนักท่องเที่ยวทั้งไทยและต่างประเทศเดินทางเข้ามาเป็นจำนวนมาก และเชียงใหม่ถือว่าเป็นเกต์เวย์อันดับ 3 ของประเทศไทย รองจากกรุงเทพฯและภูเก็ต ที่นักท่องเที่ยวใช้บริการเดินทางเข้ามาเพื่อเชื่อมต่อไปยังภูมิภาคอาเซียน (AEC) ซึ่งเชียงใหม่จะเป็นอีกหนึ่งจังหวัดที่สามารถตอบโจทย์การเดืนทางเชื่อมต่อไปยัง CLMV ได้เป็นอย่างดี โดยปัจจุบันบริษัทมีเส้นทางการบินจากเชียงใหม่ไปในกลุ่ม CLMV จำนวน 1 เส้นทาง คือ กรุงเทพ-มัณฑะเลย์
สำหรับการเปิดให้บริการเครื่องบินรับส่งผู้ป่วยฉุกเฉิน (Ambulance Flight) ปัจจุบันบริษัทอยู่ระหว่างการเจรจากับเครือโรงพยาบาลกรุงเทพ เพื่อเปิดให้บริการ Ambulance Flight รับส่งผู้ป่วยในเครือโรงพยาบาลกรุงเทพทั้งในและต่างประเทศ โดยในระยะแรกของการเปิดให้บริการคาดว่าทางเครือโรงพยาบาลกรุงเทพจะเช่าเครื่องบินใบพัด ATR ของบริษัท 1 ลำก่อน และในระยะต่อไปคาดว่าจะเพิ่มขึ้นเป็น 2-3 ลำ หากมีความต้องการใช้บริการ Ambulance Flight เพิ่มมากขึ้น ทั้งนี้ บริษัทคาดว่าการเปิดให้บริการ Ambulance Flight กับเครือโรงพยาบาลกรุงเทพจะสามารถเริ่มให้บริการได้ในปีนี้ ซึ่งหลังจากการเจรจาได้ข้อสรุปบริษัทจะต้องมีการติดตั้งอุปกรณ์ทางการแพทย์เข้าไปในเครื่องบินที่ให้บริการ
ทั้งนี้ การให้บริการ Ambulance Flight ของสายการบินบางกอกแอร์เวยส์ที่บริการให้กับเครือโรงพยาบาลกรุงเทพ ถือว่าเป็นสายการบินแห่งแรกของเอเชียที่เปิดให้บริการ Ambulance Flight
ส่วนกลยุทธ์ในการแข่งขันของสายการบินบางกอกเวย์ส์กับสายการบินอื่นๆ ที่สายการบินอื่นๆ มีพันธมิตรเข้ามาถือหุ้นและให้การสนับสนุนนั้น ปัจจุบันบริษัทยังคงกลยุทธ์การแข่งขันแบบเดิม และเน้นการเพิ่มการเชื่อมโยงการให้บริการแบบ Code Share เพื่อเพิ่มรายได้และจำนวนผู้โดยสาร ส่วนการปรับเปลี่ยนกลยุทธ์เพื่อการแข่งขัยกับสายการอื่นจะเป็นอย่างไรในอนาคตนั้นบริษัทยังอยู่ระหว่างรอดูนโยบายและกลยุทธ์ของสายการบินอื่นๆ ก่อนหลังจากที่มีผู้ถือหุ้นใหม่และมีพันธมิตรใหม่เข้ามา