Brexit:โบรกฯชี้หากอังกฤษออกจากอียู SET มีโอกาสหลุด 1,400 จุด กลับกันหากอยู่ต่อหนุนทะยานแตะ 1,460-1,480 จุด

ข่าวหุ้น-การเงิน Tuesday June 21, 2016 12:20 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายอภิชัย เรามานะชัย รองกรรมการผู้จัดการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล. แอพเพิล เวลธ์ เปิดเผยถึงการลงประชามติของอังกฤษที่จะมีขึ้นในวันที่ 23 มิ.ย.นี้ เพื่อตัดสินจะออกจากการเป็นสมาชิกในสหภาพยุโรป (อียู) หรือไม่ว่า ประเทศอังกฤษถือเป็นเป็นศูนย์กลางทางการเงินของสหภาพยุโรป ซึ่งหากอังกฤษออกจากอียู จะส่งผลให้สถาบันการเงินใหญ่ๆ ของยุโรปหลายแห่งที่อยู่ในอังกฤษมีปัญหาเรื่องสิทธิประโยชน์ต่างๆที่อาจถูกปรับเปลี่ยน และจะทำให้ความเชื่อมั่นทางการเงินของอังกฤษลดลง ขณะที่เม็ดเงินการลงทุนต่างๆ ที่อาจมีการแปลงแปลง รวมทั้งจะกระทบต่อความเชื่อมั่นในสกุลเงินปอนด์

ด้านการค้าประเทศอังกฤษปัจจุบันมีการทำการค้ากับประเทศต่างๆในกลุ่มอียูถึง 47% ซึ่งประเมินผลเสียหากอังกฤษตัดสินใจออกจากกลุ่มยูโร อาจจะกระทบต่อ GDP อังกฤษลดลงในระยะยาวประมาณ 1-2 % จากการเสียสิทธิพิเศษทางภาษีจากข้อตกลงการค้าของกลุ่มยูโร

สำหรับในแง่ผลกระทบกับประเทศไทย ในด้านการค้า หากอังกฤษออกจากอียูจริง คงไม่ส่งผลอะไรมากนัก เพราะปัจจุบันไทยกับอังกฤษมีการค้าขายต่อกันน้อยราวๆ 1.8% เท่านั้น นอกจากนี้ไทยกับทางอียูก็ไม่มีสนธิสัญญาทางการค้าระหว่างกัน ดังนั้น อังกฤษจะออกหรือไม่ออกจากสมาชิกยูโรโซน ก็จะไม่มีผลกระทบต่อสิทธิภาษีต่างๆ

ขณะที่ตลาดหุ้นไทยได้ปรับฐานลงไปในทิศทางเดียวกับตลาดหุ้นอื่นในภูมิภาคเอเชีย จากแรงกดดันในประเด็นการลงประชามติของอังกฤษแล้ว ซึ่งหากการตัดสินใจลงประชามติของอังกฤษชี้ขาดว่าให้ต้องออกจากยูโรโซนจะส่งผลกระทบต่อตลาดหุ้นไทยเพียงระยะสั้น คาดจะผันผวนอยู่ในกรอบแนวรับ 1,380 จุด ในทางกลับกันหากอังกฤษไม่ออกจากยูโรโซน เม็ดเงินลงทุนจากต่างชาติน่าจะไหลเข้าลงทุนในตลาดหุ้น Emerging Market อีกครั้ง และส่งผลบวกให้ดัชนีตลาดหุ้นไทยมีโอกาสปรับตัวเพิ่มขึ้นในกรอบ 1,460-1,480 จุดได้

ด้านนายเกรียงไกร ทำนุทัศน์ ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.เออีซี (AEC) ประเมินแนวโน้มตลาดหุ้นไทยในช่วงก่อนที่อังกฤษจะลงประชามติออก หรือไม่ออกจากการเป็นอียูนั้น จะเคลื่อนไหวผันผวนในกรอบ 1,400-1,440 จุด โดยหากอังกฤษตัดสินใจที่จะยังอยู่ในอียูต่อ ตลาดทุนจะคลายความกังวล และจะเกิดแรงขายทำกำไรในตลาดตราสารหนี้ของเยอรมนีและญี่ปุ่นที่อัตราผลตอบแทนลดลงไปต่ำกว่าระดับ 0% ขณะที่ค่าเงิน EUR, GBP ราคาน้ำมัน และตลาดหุ้นเกิดใหม่จะฟื้นทันที นอกจากนี้จะมีแรงเทขายทองคำด้วย

แต่หากผลการลงประชามติตัดสินอังกฤษออกจากอียู ภาคเศรษฐกิจมีโอกาสได้รับผลกระทบเชิงลบต่อการปรับลด GDP 10% ในปี 59 ซึ่งอังกฤษจะมีเวลาในการปฏิรูปกฎหมายเป็นระยะเวลา 2 ปี ในกรณีนี้ตลาดหุ้นทั่วโลกมีโอกาสตอบสนองเชิงลบอย่างรวดเร็ว แต่ผลกระทบจะเกิดต่อตลาดหุ้นในกลุ่มประเทศยุโรปโดยตรงมากกว่า ขณะที่ตลาดหุ้นไทยในระยะสั้นดัชนีมีโอกาสหลุด 1,400 จุด

"กรณีที่ผลการลงประชามติตัดสินอังกฤษออกจากอียู ตลาดหุ้นไทยระยะสั้นมีโอกาสที่จะปรับตัวลดลงหลุด 1,400 จุด แต่ก็จะสามารถฟื้นตัวกลับมาได้อย่างรวดเร็วจากปัจจัยสนับสนุนคือการลดน้ำหนักการลงทุนในตลาดหุ้นยุโรป รวมทั้งความคาดหวังเรื่องของการลดน้ำหนักในตลาด Bond และเพิ่มน้ำหนักในตลาดทุนหลังจบประเด็นเรื่องประชามติอังกฤษ รวมไปถึงเรื่องการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ ซึ่งจะทำได้ยาก โดยเฉพาะในช่วงที่มีความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ"นายเกรียงไกร กล่าว

นายเกรียงไกร กล่าวว่า หลังวันที่ 23 มิ.ย. นี้ ไม่ว่าผลจะออกมาเป็นอย่างไร แนะนำให้หาจังหวะเพิ่มน้ำหนักการลงทุน ใน 4 กลุ่มอุตสาหกรรมที่มีแนวโน้ม Outperform ประกอบด้วย 1.หุ้นในกลุ่มที่อยู่อาศัย ได้แก่ LH - AP- SIRI- PACE- ANAN 2.กลุ่มอุตสาหกรรมเครื่องดื่ม ได้แก่ CBG- MALEE เนื่องจากมีแนวโน้มปรับเพิ่มผลการดำเนินงาน 3.กลุ่มเช่าซื้อ ได้แก่ KTC-THANI และ 4.กลุ่มพลังงานทดแทน ที่มี Event Drive การประมูลและมีผลการดำเนินงานปรับเพิ่มขึ้น ได้แก่ TPCH – BWG


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ