นายอุทัย อุทัยแสงสุข รองกรรมการผู้จัดการอาวุโสสายงานพัฒนาธุรกิจและพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียม บมจ. แสนสิริ (SIRI) คาดว่ายอดขายโครงการคอนโดมิเนียมในครึ่งแรกปีนี้จะอยู่ที่ 1.2 หมื่นล้านบาท จากเป้าหมายยอดขายคอนโดมิเนียมทั้งปีนี้ที่ 2.8 หมื่นล้านบาท โดยยอดขายเดือนมิ.ย.ได้รับแรงหนุนมาจากการเปิดขายคอนโดมิเนียมภายใต้แบรนด์"เดอะ ไลน์ อโศก-รัชดา" มูลค่าโครงการ 2.8 พันล้านบาท ภายใต้ความร่วมมือกับบมจ.บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ (BTS) ซึ่งจะเปิดขายกลุ่มลูกค้าคนไทยในวันที่ 25-26 มิ.ย.นี้ หลังประสบความสำเร็จจากการโรดโชว์กลุ่มลูกค้าต่างชาติ ที่ประเทศฮ่องกง สิงคโปร์ ไต้หวันและจีน ก่อนหน้านี้ สามารถทำยอดขายได้กว่า 1 พันล้านบาท
ทั้งนี้ คาดว่าการเปิดขายโครงการดังกล่าวให้กับลูกค้าชาวไทยในช่วงปลายสัปดาห์นี้จะสามารถปิดการขายได้ภายในช่วงวันจัดงานด้วย เนื่องจากโครงการมีจุดเด่นอยู่ที่ทำเลที่ตั้งที่ห่างจากรถไฟใต้ดิน สถานีพระราม 9 เพียง 300 เมตร และเส้นทางคมนาคมอื่น ๆ รวมถึงทำเลมีอยู่ในย่านธุรกิจแห่งใหม่ และใกล้สิ่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ เช่น ศูนย์การค้า เป็นต้น
โครงการเป็นอาคารพักอาศัยสูง 9 ชั้น 1 อาคาร จำนวน 473 ยูนิต ขนาดพื้นที่ตั้งแต่ 27.60-50.25 ตารางเมตร (ตร.ม.) ราคาเริ่มต้น 3.99 ล้านบาท หรือเฉลี่ยอยู่ที่ 140,000-150,000 บาท/ตร.ม. ซึ่งปัจจุบันกระบวนการจัดทำรายงานผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม (EIA) ใกล้เสร็จภายใน 2 สัปดาห์ คาดว่าจะเริ่มก่อสร้างได้ภายในเดือนก.ย.นี้ และมีกำหนดก่อสร้างแล้วเสร็จและโอนโครงการภายในปี 62
"มั่นใจว่ายอดขายคอนโดมิเนียมในปีนี้จะเป็นไปตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ 2.8 หมื่นล้านบาท แม้ว่ายอดขายในครึ่งปีแรกจะยังทำได้ไม่ถึง 50% ของเป้าหมายทั้งปี แต่ไนช่วงครึ่งปีหลังบริษัทจะเปิดโครงการคอนโดมิเนียมใหม่มากขึ้นกว่าครึ่งปีแรก"นายอุทัย กล่าว
นายอุทัย กล่าวว่า ช่วงครึ่งปีหลังมีแผนเปิดโครงการคอนโดเมิเนียมใหม่อีก 7 โครงการ มูลค่า 2.2 หมื่นล้านบาท แบ่งเป็น โครงการคอนโดมิเนียมที่บริษัททำร่วมกับบีทีเอส 6 โครงการ และโครงการคอนโดมิเนียมที่บริษัททำเองอีก 1 โครงการ ขณะที่ในช่วงครึ่งปีแรกได้เปิดโครงการคอนโดมิเนียมใหม่ไปแล้ว 4 โครงการ มูลค่า 7-8 พันล้านบาท โดยเป็นโครงการร่วมทุนกับบีทีเอส 1 โครงการ คือ โครงการ เดอะไลน์ อโศก-รัชดา ทำให้การเปิดโครงการคอนโดมิเนียมใหม่ทั้งปีนี้เป็นไปตามเป้าที่จะเปิดทั้งหมด 11 โครงการ มูลค่าโครงการรวม 3 หมื่นล้านบาท
นอกจากนี้บริษัทมองว่าภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ไนช่วงครึ่งปีหลังจะดีขึ้นกว่าครึ่งปีแรก เนื่องจากปัจจุบันยังมีความต้องการซื้อที่อยู่อาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะโครงการคอนโดมิเนียมในกรุงเทพฯที่ใกล้กับรถไฟฟ้า ซึ่งการเปิดโครงการคอนโดมิเนียมใหม่ของบริษัทในช่วงครึ่งปีหลังจะตั้งอยู่บนทำเลที่มีศักยภาพและตอบโจทย์การอยู่อาศัยและการเดินทางในเมือง โดยมีทำเลอย่างเช่น สุขุมวิท 38 ทองหล่อ รามคำแหง ประดิพัทธ์ เป็นต้น นอกจากนี้การทยอยเปิดประมูลโครงการลงทุนขนาดใหญ่ของภาครัฐจะเป็นอีกหนึ่งแรงหนุนให้ตลาดอสังหาริมทรัพย์เติบโตตามไปด้วย
สำหรับมูลค่าโครงการคอนโดมิเนียมเหลือขายของบริษัทในปัจจุบันมีมูลค่ารวมอยู่ที่ 6 พันล้านบาท โดยส่วนใหญ่เป็นคอนโดมิเนียมในต่างจังหวัด 90% อย่างเช่น สุราษฎร์ธานี เชียงใหม่ เชียงราย ภูเก็ต หัวหิน ขอนแก่น อุดรธานี พัทยา และเขาใหญ่ ส่วนโครงการในกรุงเทพฯที่เหลือขายนั้นมีมูลค่าไม่ถึง 1 พันล้านบาท โดยบริษัทคาดว่าจะสามารถระบายสต็อกออกหมดได้ภายใน 1-2 ปีข้างหน้า
"การที่สต็อกในต่างจังหวัดเราเหลือเยอะทำให้เราชะลอการเปิดตัวโครงการในต่างจังหวัด เพราะที่ผ่านมาตลาดต่างจังหวัดยังไม่ค่อยดีนัก ซึ่งตอนนี้การเปิคอนโดฯเราก็เน้นในโซนกรุงเทพฯ และการขายก็เน้นขายให้กับลูกค้าต่างชาติมากขึ้น โดยยอดขายลูกค้าต่างชาติปีนี้บริษัทตั้งเป้าเพิ่มเป็น 5 พันล้านบาท จากปีก่อน 3.5 พันล้านบาท โดยปัจจุบันเราทำยอดขายจากลูกค้าชาวต่างชาติได้แล้วกว่า 2 พันล้านบาท"นายอุทัย กล่าว
นายอุทัย กล่าวว่า ด้านรายได้ของโครงการคอนโดมิเนียมในปีนี้บริษัทยังมั่นใจทำได้ตามเป้าหมายที่ 2 หมื่นล้านบาท โดยไตรมาส 1/59 บริษัททำได้แล้ว 5 พันล้านบาท และที่เหลืออีก 3 ไตรมาสของปีนี้บริษัทตั้งเป้าทำรายได้จากโครงการคอนโดมิเนียมอีกไตรมาสละ 5 พันล้านบาท โดยจะมาจากการมูลค่ายอดขายรอโอน (Backlog) อีก 60-70% ในปีนี้ จาก Backlog ทั้งหมดกว่า 2 หมื่นล้านบาทในปัจจุบัน โดยแบ่งเป็น Backlog ของโครงการที่บริษัททำเอง 1 หมื่นล้านบาท และโครงการของบริษัทร่วมทุนกับบีทีเอสอีก 1 หมื่นล้านบาท