นายเทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม ผู้ช่วยกรรมการผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย บล.เอเซีย พลัส กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยเช้านี้น่าจะมีโอกาสรีบาวน์ในกรอบแคบ หลังเข้าใกล้วันลงประชามติในอังกฤษเกี่ยวกับการถอนตัวจากสหภาพยุโรป (อียู) โดยแนวโน้มที่ออกมาค่อนข้างมีความชัดเจนมากขึ้นว่าอังกฤษจะยังอยู่อียูต่อไป
ขณะที่ปัจจัยดังกล่าวได้สะท้อนไปยังราคาหุ้นระดับหนึ่งแล้ว ทำให้นักลงทุนบางส่วนรอดูผลการลงประชามติที่จะเกิดขึ้นจริงในวันพรุ่งนี้ (23 มิ.ย.) ส่งผลให้การเคลื่อนไหวของตลาดหุ้นไทยจะไม่มากนัก ซึ่งเป็นไปในทิศทางเดียวกับตลาดหุ้นต่างประเทศ เช่น ตลาดหุ้นยุโรปที่มีอัตราการปรับเพิ่มขึ้นลดลงจากช่วงก่อนหน้า หลังเข้าใกล้วันลงประชามติของอังกฤษ ขณะที่การเคลื่อนไหวของตลาดหุ้นภูมิภาคเช้านี้ก็เคลื่อนไหวในกรอบแคบ
ส่วนปัจจัยในประเทศเรื่องการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ในวันนี้ก็คาดว่าจะยังคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายตามเดิม ส่วนมติที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) วานนี้ที่เห็นชอบมาตรการช่วยเหลือเกษตรกรนั้น ก็จะช่วยหนุนการลงทุนในกลุ่มค้าปลีก หรือลีสซิ่ง แต่หุ้นกลุ่มดังกล่าวไม่ได้มีมาร์เก็ตแคปใหญ่เพียงพอที่จะมีน้ำหนักต่อตลาดหุ้นมากนัก
สำหรับราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกที่อ่อนตัวลงเล็กน้อย แต่ก็ยังแกว่งตัวอยู่ในกรอบ 49-52 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล ทำให้การเคลื่อนไหวของหุ้นกลุ่มพลังงานน่าจะยังเป็นลักษณะการประคองตลาดอยู่
พร้อมให้แนวรับที่ระดับ 1,420 และแนวต้านที่ 1,440 จุด
ประเด็นการพิจารณาการลงทุน
- ตลาดหุ้นนิวยอร์กล่าสุด (21 มิ.ย.59) ดัชนีดาวโจนส์ปิดที่ 17,829.73 จุด เพิ่มขึ้น 24.86 จุด (+0.14%), ดัชนี NASDAQ ปิดที่ 4,843.76 จุด เพิ่มขึ้น 6.55 จุด (+0.14%), ดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,088.90 จุด เพิ่มขึ้น 5.65 จุด (+0.27%)
- ตลาดหุ้นเอเชียเปิดเช้าวันนี้ ดัชนี NIKKEI 225 ตลาดหุ้นญี่ปุ่นเปิดวันนี้ ลดลง 73.30 จุด, ดัชนี SSE Composite ตลาดหุ้นจีนเปิดวันนี้ ลดลง 5.83 จุด, ดัชนี HSI ตลาดหุ้นฮ่องกงเปิดวันนี้ ลดลง 114.50 จุด, ดัชนี TAIEX ตลาดหุ้นไต้หวันเปิดวันนี้ ลดลง 9.73 จุด, ดัชนี KOSPI ตลาดหุ้นเกาหลีใต้เปิดวันนี้ ลดลง 0.92 จุด, ดัชนี FTSE STI ตลาดหุ้นสิงคโปร์เปิดวันนี้ เพิ่มขึ้น 7.88 จุด
ส่วนตลาดหุ้นมาเลเซียปิดทำการวันนี้ เนื่องในวันเผยแพร่คัมภีร์อัลกุรอ่าน
- ตลาดหุ้นไทยปิดล่าสุด (21 มิ.ย.59) 1,430.80 จุด เพิ่มขึ้น 8.81 จุด (+0.62%)
- นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ 115.85 ล้านบาท เมื่อวันที่ 21 มิ.ย.59
- ราคาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือน ก.ค.ในตลาดไนเม็กซ์ปิดทำการล่าสุด (21 มิ.ย.59) ปิดที่ 48.85 ดอลลาร์/
- ค่าการกลั่นอ้างอิงตลาดสิงคโปร์ปิดล่าสุด (21 มิ.ย.59) ที่ 5.47 เหรียญสหรัฐฯ/บาร์เรล
- เงินบาทเปิด 35.24/26 อ่อนค่าจากวานนี้ หลังดอลล์แข็งขานรับถ้อยแถลง"เยลเลน"-จับตาผล Brexit
- ครม.รับทราบความคืบหน้าการก่อสร้างทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง(มอเตอร์เวย์) สายบางปะอิน-สระบุรี-นครราชสีมา วงเงินรวม 76,600 ล้านบาท ที่แบ่งการก่อสร้างออกเป็น 40 ช่วง เบื้องต้นจะก่อสร้างช่วงที่ 7 ซึ่งเป็นแยกต่างระดับที่จังหวัดสระบุรีก่อนหนึ่งช่วง โดยจะเริ่มก่อสร้างได้ในเดือนกรกฎาคมนี้
- ครม.อนุมัติแพ็กเกจช่วยชาวนา 4 มาตรการผ่าน ธ.ก.ส.วงเงินรวม 45,589 ล้านบาท ทั้งจ่ายเงินช่วยเหลือไร่ละ 1,000 บาท ไม่เกินรายละ 10 ไร่ พักหนี้เงินต้นและลดดอกเบี้ย 2 ปี อบรมเสริมความรู้และออกเงินทำประกันภัยพืชผลไร่ละ 100 บาท ให้ฟรีสำหรับลูกค้า ธ.ก.ส.
- นายกรัฐมนตรี ดีใจไทยหลุดโผ 214 สายการบินไม่ได้มาตรฐานของเอียซ่าแห่งยุโรป มั่นใจแก้ไขข้อบกพร่องฟันฝ่าอุปสรรคสำเร็จ แต่ยังต้องเดินหน้าปลดธงแดงไอเคโอและเอฟเอเอต่อไป
- ส.อ.ท.เผยยอดผลิตและยอดจำหน่ายรถยนต์เดือน พ.ค.ที่ผ่านมา ปรับตัวดีขึ้นต่อเนื่อง เห็นได้จากทั้งยอดผลิตเพื่อจำหน่ายในประเทศและยอดผลิตเพื่อส่งออกรวมเพิ่มขึ้น 24.69% จากช่วงเดียวกันปีก่อน โดยมียอดการผลิตรวม 168,394 คัน โดยเป็นยอดผลิตเพื่อจำหน่ายในประเทศที่มีสัดส่วนการผลิตเพิ่มขึ้น 41.68% ต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 2 ติดต่อกัน โดยมีกำลังการผลิตอยู่ที่ 70,192 คัน
- ส.อ.ท. เผยดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรมเดือนพ.ค.59 อยู่ที่ 86.4 เพิ่มขึ้นจากระดับ 85.0 ในเดือนเม.ย. เกิดจากองค์ประกอบยอดคำสั่งซื้อ โดยยอดขายโดยรวม ปริมาณการผลิต และผลประกอบการ โดยดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรมที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นในเดือนนี้ เนื่องจากความกังวลต่อปัญหาภัยแล้งได้เริ่มคลี่คลาย ส่งผลดีต่ออุตสาหกรรมแปรรูปสินค้าเกษตร
- ประธานสภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย(สทท.) เปิดเผยถึงดัชนีความเชื่อมั่นผู้ประกอบการธุรกิจการท่องเที่ยวในประเทศไทยช่วงไตรมาส 2 ปี 2559 ว่าอยู่ที่ระดับ 97 โดยเพิ่มขึ้นจากไตรมาสแรกปี 2559 ซึ่งอยู่ที่ระดับ 95 ทั้งนี้มีนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้ามาท่องเที่ยวในไทยประมาณ 7.82 ล้านคน เพิ่มขึ้น 11.56% จากช่วงเดียวกันของปี 2558
- หอการค้าไทยประเมินเศรษฐกิจครึ่งปีหลังฟื้นตัว คาดโต 3.3% หลังมาตรการอัดฉีดรัฐเริ่มส่งผล เมกะโปรเจกต์เดินหน้า เอกชนเพิ่มการลงทุน ท่องเที่ยวยังโต ส่งออกฟื้นตัว สินค้าเกษตรราคาดี แต่ระวังภัยแล้ง แบงก์เข้มปล่อยกู้ โดนแบนประมง และเศรษฐกิจจีนชะลอตัว ส.อ.ท.จับมือนิด้าโพล เปิดผลสำรวจความเห็น 48 CEO ต่อทิศทางเศรษฐกิจไทยครึ่งปีหลัง 2559 พบส่วนใหญ่กว่า 56% มองว่า เศรษฐกิจจะยังคงทรงตัว 47.92% มองส่งออกไทยจะได้รับผลกระทบอยู่ในระดับมาก
-AAV (เคจีไอฯ) แนะนำ"ซื้อ"ให้ราคาเป้าหมายที่ 6.09 บาท โดยการเข้าร่วมประชุมนักวิเคราะห์เมื่อวานนี้หลังจากที่ครอบครัวศรีวัฒนประภา ซึ่งเป็นกลุ่ม King Power เข้าซื้อหุ้น 39% ซึ่งพบว่าจะช่วยสร้าง synergy ให้กับ AAV ได้จากเครือข่ายด้านการท่องเที่ยวที่แข็งแกร่งที่ประเทศจีน ในปัจจุบันรายได้จากธุรกิจการขายสินค้าปลอดอากรคิดเป็นสัดส่วนเพียงแค่ 1% ของรายได้รวมของ AAV และผู้บริหารเชื่อว่าธุรกิจนี้ยังมีโอกาสเติบโตได้อีกมากหลังจากที่กลุ่ม King Power เข้ามาเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ ซึ่งผู้บริหารมองว่าในระยะยาว ต้องมีการปรับสมดุลของแหล่งรายได้ AAV ระหว่างลูกค้าจาก Asean จีน และอินเดียให้มีสัดส่วน 20%, 25% และ 15% ตามลำดับ สำหรับนโยบายการจ่ายเงินปันผลของ AAV ยังคงไม่มีการเปลี่ยนแปลงในขณะนี้ แต่ในอนาคตประเด็นนี้ขึ้นอยู่กับการพิจารณาของผู้ถือหุ้นใหญ่ ส่วนแนวโน้มกำไรยังคงแข็งแกร่งใน 2Q59 แม้จะเข้าสู่ช่วง low season
-STEC (ไอร่า) แนะนำ"ซื้อ"ให้ราคาเป้าหมายที่ 29 บาท โดยเห็นว่า STEC ไม่ได้เข้าร่วมประมูลงานก่อสร้างอาคารเทียบเครื่องบินและระบบสาธารณูปโภค ทั้ง 2 สัญญา มูลค่ารวมประมาณ 15,700 ล้านบาท ซึ่ง AOT เปิดประมูลไปเมื่อวันที่ 20-21 มิ.ย.ที่ผ่านมา แต่คาดไม่ส่งผลกระทบต่อ STEC มากนัก เนื่องจากระดับ Backlog ที่มีอยู่ล่าสุดประมาณ 53,000 ล้านบาท ยังเพียงพอต่อการเติบโตของรายได้ไม่ต่ำกว่า 2-3 ปีข้างหน้า ขณะเดียวกัน STEC ยังได้รับประโยชน์จากแผนทยอยเปิดประมูลโครงการขนาดใหญ่ของภาครัฐที่คาดมีต่อเนื่องใน 2H/59 รวมถึงงานก่อสร้างโรงไฟฟ้า ซึ่ง STEC มีความถนัดและรับงานก่อสร้างโรงไฟฟ้าทั้ง SPP และ IPP ต่อเนื่องในช่วงที่ผ่านมา นอกจากนี้คาดเป็นโอกาสของ STEC ในการเข้าประมูล โดยเฉพาะโครงการที่มีศักยภาพในการทำกำไร
-CPN (บัวหลวง) แนะนำ"ซื้อ"ให้ราคาเป้าหมายที่ 63.50 บาท โดยมองแนวโน้มการเติบโตของ CPN น่าสนใจ ด้วยการเปิดศูนย์การค้าใหม่ การปรับปรุงศูนย์ฯอย่างสม่ำเสมอ ค่าเช่าและอัตราการเช่าที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง จะช่วยหนุนกำไรสุทธิปี 2559-60 โตได้ถึง 18-20% ต่อปี และจะโตเร่งขึ้นเป็น 27% ในปี 2561 จากรายได้จากโครงการคอนโดมิเนียม ด้านมูลค่าหุ้นยังคงมีความน่าสนใจ โดยปัจจุบัน CPN ซื้อขายในระดับต่ำกว่ามูลค่าประเมินด้วยวิธี DCF ที่ 63.50 บาท ณ สิ้นปี 2559 อยู่ 9% และ มี PER ปี 59 เพียง 25.5 เท่า ต่ำกว่าค่า PER เฉลี่ยระยะยาวที่ 26.4 เท่า