Brexit: "ทรีนีตี้"มอง SET รับเชิงลบกรณีอังกฤษออกจากอียู แค่ระยะสั้น แนะเพิ่มน้ำหนักช่วง 1,380–1,400 จุด

ข่าวหุ้น-การเงิน Friday June 24, 2016 15:22 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายณัฐชาต เมฆมาสิน ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ทรีนีตี้ เปิดเผยถึงมุมมองผลกระทบต่อภาพรวมตลาดทุนหลังจากผลการนับคะแนนประชามติบ่งชี้ว่าฝ่ายสนับสนุนให้อังกฤษถอนตัวจากสหภาพยุโรป (อียู) มีชัยชนะด้วยคะแนนเสียงข้างมาก ว่า หากมองในกรณีดีที่สุด อังกฤษออกจากสหภาพยุโรปอย่างราบรื่นและสามารถผ่านพ้นอุปสรรคในระยะสั้น จนนำไปสู่ความมั่งคั่งที่เพิ่มขึ้นของประชากรในประเทศ โดยในสมมติฐานนี้อังกฤษจะต้องปรับเปลี่ยนกฎหมายให้เกื้อกูลและไม่กีดกันประชาชนและธุรกิจจากสัญชาติอื่นในสหภาพยุโรป และจะต้องมีการเจรจาข้อตกลงการค้าใหม่อย่างเร่งด่วน เพื่อรักษาสัดส่วนการค้าระหว่างประเทศอื่นภายในสหภาพยุโรป รวมถึงประเทศอื่นนอกสหภาพยุโรป (Non-EU) อย่างเช่น สหรัฐอเมริกา อินเดีย จีน ญี่ปุ่น และ ออสเตรเลีย ซึ่งอาจรวมถึงไทยด้วย

อย่างไรก็ตาม ในระยะสั้นการออกจากลุ่มสหภาพยุโรปย่อมทำให้เกิดความผันผวนต่อเศรษฐกิจของอังกฤษอย่างแน่นอน การจำกัดแรงงานจากต่างประเทศอาจทำให้อังกฤษขาดแคลนบุคลากรแรงงาน ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อผลิตภาพและความสามารถทางการแข่งขันในระยะกลาง แต่เชื่อว่าเมื่อตั้งตัวได้แล้วอังกฤษน่าจะกลับสู่สภาพเดิมได้ ผลกระทบสำคัญในกรณีนี้ได้แก่ค่าเงินปอนด์ที่น่าจะปรับตัวอ่อนค่าในช่วงแรกจากความต้องการเข้ามาลงทุนที่ลดลง การให้กู้ยืมจากนักลงทุนต่างชาติที่ลดลง ซึ่งน่าจะทำให้ค่าเงินของสกุลต่างๆ อาทิ ดอลลาร์สหรัฐฯและสกุลเงินในเอเชียปรับตัวแข็งค่าขึ้นโดยเปรียบเทียบ ส่วนค่าเงินยูโรมีโอกาสอ่อนค่าในช่วงสั้นจากกิจกรรมทางการค้าระหว่างประเทศในกลุ่มที่ลดลง

หากมองในกรณีเลวร้ายสุด อังกฤษอาจตกอยู่ในภาวะเศรษฐกิจถดถอย (Recession) กรณีถูกต่อต้านและกีดกันทางการค้ากับประเทศอื่นในสหภาพยุโรป โดยมีสมมติฐานอังกฤษไม่สามารถเจรจาหาคู่ค้ากับประเทศ Non-EU เพื่อมาชดเชยได้ ในกรณีนี้คาดว่าผลกระทบเชิงลบที่มีต่อไทยจะตกกับกลุ่มสินค้าที่ส่งออกไปยังอังกฤษเป็นสำคัญ อาทิ รถยนต์และส่วนประกอบ รวมถึงไก่แปรรูป ส่วนผลกระทบเชิงท่องเที่ยวไม่น่ามีนัยสำคัญเนื่องจากนักท่องเที่ยวจากสหราชอาณาจักรคิดเป็นสัดส่วนเพียง 3% ของนักท่องเที่ยวต่างชาติทั้งหมด

ทั้งนี้ หากมองผลกระทบในเชิงนโยบายการเงินหลังอังกฤษออกจากสหภาพยุโรป มีความเป็นไปได้ที่ธนาคารกลางยุโรปอาจมีการเร่งอัดฉัดเม็ดเงินผ่านโครงการมาตรการผ่อนคลายนโยบายการเงิน (QE) เพิ่มเติม เพื่อประคับประคองเศรษฐกิจในกลุ่มสหภาพยุโรปด้วยกันเอง อย่างไรก็ดีด้วยประสิทธิภาพของมาตรการ QE ที่เริ่มจำกัด ทำให้มองว่ามีความเป็นไปได้เช่นกันที่ประเทศที่เหลืออยู่ในสหภาพยุโรปอาจจำเป็นต้องร่วมมือกันเพื่อออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจการคลัง หากเศรษฐกิจของสหภาพยุโรปหดตัวเกินคาดจากปรากฏการณ์ Brexit ดังกล่าว

"ให้นำหนักเชิงลบต่อกรณี Brexit เพียงระยะสั้น โดยผลกระทบอาจเกิดขึ้นกับสินค้าที่เราส่งออกไปยังอังกฤษและยุโรปโดยตรง อย่างไรก็ดีจากแนวโน้มกิจกรรมการค้าระหว่างอังกฤษกับสหภาพยุโรปที่น่าจะลดลง อาจเป็นช่องว่างให้ประเทศอื่น รวมถึงไทยในการเข้าเจรจาข้อตกลงการค้าระหว่างประเทศใหม่ได้"นายณัฐชาตกล่าว

สำหรับผลกระทบต่อตลาดหุ้นไทยจากกรณีดังกล่าว คาดผลกระทบในเชิงพื้นฐานไม่มีนัยสำคัญ แต่จะมีผลกระทบทางอ้อมหากเงินปอนด์และยูโรอ่อนค่าอย่างมากจนทำให้เงินดอลลาร์สหรัฐอเมริกาแข็งค่าขึ้นมาก ซึ่งอาจทำให้มีเม็ดเงิน Fund Flow บางส่วนไหลออกจากตลาดหุ้นเกิดใหม่ อย่างไรก็ดีพอตลาดรับข่าวไปแล้วช่วงหนึ่ง เชื่อว่าด้วยระดับอัตราผลตอบแทนพันธบัตรทั่วโลกที่ยังคงอยู่ในระดับต่ำมากนี้ จะเป็นปัจจัยกระตุ้นให้นักลงทุนมีการโยกย้ายเงินออกจากตลาดพันธบัตรเข้าสู่ตลาดหุ้นได้อีกครั้ง มองการปรับตัวลงของ SET Index จากปัจจัยดังกล่าวถือเป็นโอกาสที่ดีในการลงทุน โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่บริเวณดัชนี 1,380–1,400 จุด เนื่องจากเป็นระดับที่มีระดับ Valuation น่าสนใจตามมิติ Earning yield gap

หุ้นแนะนำสะสมในช่วงนี้ยังคงเป็นหุ้นที่ประเมินว่ามีอัตราความเสี่ยงขาลง (Downside risk) ที่ต่ำกว่าตลาด คือเป็นหุ้นที่มีอัตราส่วนราคาต่อมูลค่าทางบัญชี (P/BV) ต่ำกว่า 1 เท่า อาทิ BLAND, TTA, BANPU, TPIPL, TCAP, BBL, KTB, KKP, PTTEP, SIRI


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ