นางเกศรา มัญชุศรี กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เปิดเผยถึงแนวโน้มดัชนีตลาดหลักทรัพย์ไทยในช่วงครึ่งปีหลังปีนี้มีแนวโน้มที่จะเคลื่อนไหวในลักษณะผันผวนมากกว่าครึ่งปีแรก โดยตลาดฯ ยังมีปัจจัยที่ต้องติดตาม ทั้งปัจจัยในประเทศและต่างประเทศ อาทิ เรื่องของการทำประชามติร่างรัฐธรรมนูญ รวมถึงรอติดตามผลกระทบที่จะเกิดขึ้นภายหลังผลโหวตประชามติของประชาชนชาวอังกฤษต้องการให้ออกจากประเทศสมาชิกสหภาพยุโรป (อียู) นอกจากนี้ต้องติดตามถึงการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของสหรัฐอเมริกาว่าจะออกมาในช่วงไหน เพราะคาดว่าจะมีผลต่อบรรยากาศการลงทุนในตลาดหุ้นทั่วโลก รวมถึงตลาดหุ้นไทย
อย่างไรก็ตาม ตลาดฯ มีมาตรการดูแลการซื้อขายที่เพียงพอในปัจจุบันแล้ว จึงยังไม่ได้มีมาตรการใหม่ ๆ ออกมาดูแลเพิ่มเติม โดยการเคลื่อนไหวของดัชนีฯ จะปล่อยให้เคลื่อนไหวไปตามปัจจัยแวดล้อม และการผันผวนตามกระแสที่เกิดขึ้น
นอกจากนี้ ประเมินว่าการที่ประชาชนชาวอังกฤษต้องการให้ออกจากอียูนั้น สถานการณ์ปัจจุบันยังตอบไม่ได้ว่าผ่านจุดต่ำสุดไปหรือยัง ซึ่งมองว่าผลกระทบอาจจะต้องพิจารณาในเรื่องผลระยะยาวมากกว่า
อย่างไรก็ตาม โดยส่วนตัวมองว่าการที่อังกฤษต้องการออกจากอียูนั้น จะเป็นผลบวกต่อประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (เออีซี) เพราะคาดว่าการลงทุนต่าง ๆ จะเคลื่อนย้ายมายังกลุ่มเออีซี เพราะยุโรปหรืออังกฤษปัจจุบันยังความไม่แน่นอนสูง ซึ่งประเทศไทยเอง ปัจจุบัน รัฐบาลผลักดันการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของประเทศ รวมถึงยังเอื้ออำนวยในเรืองของภาษี เพื่อรองรับให้ต่างชาติเข้ามาลงทุน โดยน่าจะช่วยสนับสนุนต่อภาคการลงทุนเช่นกัน
ส่วนกรณีที่สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เตรียมประชุมพิจารณาเพิ่มโทษผู้บริหารบริษัทจดทะเบียน (บจ.) กรณีใช้ข้อมูลภายใน (Inside) ขึ้นแบล็กลิสต์สูงสุดไม่เกิน 10 ปีนั้น โดยส่วนตัวเห็นด้วย เพราะผู้ที่กระทำผิดก็ต้องว่าไปตามความผิดที่ทำเอาไว้ ซึ่งปัจจุบันตลท.ได้ทำ Hearing เรียบร้อยแล้ว อย่างไรก็ตาม คาดว่าการเพิ่มโทษขึ้นแบล็กลิสต์สูงสุดไม่เกิน 10 ปี ไม่น่าจะส่งผลกระทบต่อภาพรวมตลาด เพราะมองว่าเป็นเรื่องของตัวบุคคลมากกว่า