นายบุณยสิทธิ์ โชควัฒนา ประธานเครือสหพัฒน์ เปิดเผยว่า ในปี 59 เครือสหพัฒน์ตั้งเป้ายอดขายโต 5% จากปีก่อน โดยครึ่งปีแรกทำยอดขายได้ 1 แสนล้านบาท หรือเติบโต 3-4% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน
"พอใจในระดับนี้ เพราะรู้ว่าเศรษฐกิจไม่ดี จึงไม่ได้ตั้งเป้าสูงมาก เราต้องตั้งเป้าให้ตรงกับเหตุการณ์ ครึ่งปีแรกโต 3-4% ก็เก่งแล้ว แต่ทั้งปีจะพยายามให้เติบโตได้ 5% โดยธุรกิจหลักที่จะโตได้มาจากอาหาร และสินค้าอุปโภคบริโภค พวกเสื้อผ้ายอมรับไม่โต บางแบรนด์ลดลงบ้าง เนื่องจากเศรษฐกิจช่วงนี้ไม่ค่อยดี ทุกคนประหยัด แต่ของกินของใช้ประจำวันลดไม่ได้"นายบุณยสิทธิ์ กล่าว
ส่วนแนวโน้มครึ่งปีหลัง มองว่า ภาวะเศรษฐกิจน่าจะฟื้นตัวดีกว่าครึ่งปีแรก ถ้ารัฐบาลทุ่มการลงทุน อัดฉีดเงินเข้าการพัฒนาโครงการขนาดใหญ่ จะช่วยทำให้การลงทุนอื่น ๆ เกิดขึ้น และการลงทุนภาคเอกชนก็จะตามมา
"มองกำลังซื้อในประเทศไม่น่าตกต่ำไปกว่านี้แล้ว ที่ผ่านมาได้ผ่านจุดต่ำสุดแล้ว มองเศรษฐกิจเป็นรูปตัวแอล และกำลังค่อยๆดีขึ้น บางตัวก็ดีมาก บางตัวก็ดีน้อย บางตัวไม่ดี บางตัวก็ไม่ขาดทุน" ประธานเครือสหพัฒน์ กล่าว
ส่วนผลกระทบกรณีอังกฤษออกจากสหภาพยุโรป (Brexit) นายบุณยสิทธิ์ กล่าวว่า ไม่ได้มีความกังวล และไม่กลัว เพราะเครือสหพัฒน์ขายสินค้าในประเทศมากกว่าส่งออก เรื่องนี้ทุกคนมองเป็นปัญหา แต่ตนเห็นว่า น่าจะเป็นผลดีของไทย โดยหากเศรษฐกิจทางยุโรปไม่ดี ทางเอเชียก็จะดีต่อเนื่อง
สำหรับการร่วมลงทุนเครือสหพัฒน์ กับ World Co., Ltd. จากญี่ปุ่นเพื่อจัดจำหน่ายเครื่องแต่งกายภายใต้เครื่องหมายการค้า "TAKEO KIKUCHI" ในไทย โดยตั้งเป้าเปิด 6-8 สาขาในปีแรก ซึ่งสาขาแรก จะเปิดในช่วงต้นปี 60 ซึ่งจะพิจารณาทั้งเปิดขายในห้างสรรพสินค้า ใช้พื้นที่ 50 ตารางเมตร (ตร.ม.) และเปิดร้านค้าเอง(stand alone) นอกจากนี้ ญี่ปุ่นยังร่วมพัฒนาสินค้ากับกลุ่มสหพัฒน์ และไปทำตลาดในต่างประเทศ เช่น เวียดนาม อินโดนีเซีย โดยใช้ไทยเป็นฐาน หวังจะขยายสู่อาเซียน
"ยังไม่ได้ตั้งเป้าในปีแรก เพราะคิดว่ายังไม่หวือหวา หวังโต step by step สินค้าแฟชั่นจะจับกลุ่มคนเมือง คนทำงาน เป็นแบรนด์พรีเมี่ยม ตอนนี้มี แอร์โร เป็นของอเมริกา ลาคอสของฝรั่งเศส และยังไม่มีแบรนด์ของญี่ปุ่น นำแบรนด์จากญี่ปุ่นมาเสริม...ที่ทำแบรนด์ใหม่ปีนี้ แล้วเปิดตัวปีหน้า เพราะมองว่าถ้าจะทำแบรนด์ใหม่ ช่วงนี้ดีที่สุด คู่แข่งน้อยลงเป็นจังหวะที่ดี สตาร์ทอัพตั้งแต่ช่วงที่เศรษฐกิจไม่ค่อยดีแล้วค่อยๆไป"นายบุณยสิทธิ์ กล่าว
การที่เข้าร่วมลงทุนกับพันธมิตรญี่ปุ่นในจังหวะนี้เพราะเป็นจังหวะลงทุน และเมื่อเศรษฐกิจฟื้นตัว ยอดขายก็จะเติบโต และการลงทุนในช่วงเศรษฐกิจไม่ดีคู่แข่งน้อย อีกทั่ง พันธมิตรญี่ปุ่น ก็ไม่ได้ตั้งเป้ายอดขาย แต่ขอให้ทำสำเร็จและไม่ขาดทุน ราคาเสื้อผ้าผู้ชาย อยู่ในช่วง 2,000 - 4,000 บาท/ชิ้น สูทราคา 10,000 บาท โดยเป็นแบรนด์ชั้นนำในญี่ปุ่น ซึ่งมียอดขาย 13,000 ล้านเยนต่อปี
ด้านนายบุญเกียรติ โชควัฒนา ประธานกรรมการบริษัทและประธานกรรมการบริหาร บมจ.ไอ.ซี.ซี. อินเตอร์เนชั่นแนล (ICC) กล่าวว่า สัญญาณเศรษฐกิจในช่วงครึ่งหลังปีนี้ยังดีต่อเนื่อง ส่วนกรณี Brexit มีผลกระทบต่อเครือสหพัฒน์น้อยมากเพราะสินค้าพวกสิ่งทอ เสื้อผ้าที่ส่งไปยุโรป มีสัดส่วนที่น้อยเมื่อเทียบกับส่งออกไปในอาเซียน จากนี้ไปเป็นเรื่องที่ภาคเอกชนจะต้องปรับตัวพัฒนาสินค้านวัตกรรม ปรับรูปแบบการผลิตก็จะอยู่รอดได้
สำหรับการจัดงาน สหกรุ๊ปแฟร์ ครั้งที่ 20 ที่เริ่มต้นตั้งแต่วันนี้ จนถึงวันที่ 3 ก.ค.นั้น ตั้งเป้ายอดขายจากการจัดงานครั้งนี้ราว 300 ล้านบาท ใกล้เคียงปีก่อน และหากจะเพิ่มขึ้นก็อาจจะเพิ่มได้อีกราว 10%