โดยสินค้าการส่งออกยานยนต์ซึ่งเป็นสินค้าส่งออกอันดับหนึ่งของไทยไปอังกฤษ คิดเป็นสัดส่วน 20% ของการส่งออกไทยไปอังกฤษในปี 58 จะได้รับผลกระทบมากที่สุด เนื่องจากเป็นสินค้าฟุ่มเฟือยและมีความอ่อนไหวต่อภาวะเศรษฐกิจสูง ซึ่งเห็นได้จากในช่วงวิกฤตเศรษฐกิจโลกในปี 52 ที่ยอดส่งออกรถยนต์ไปอังกฤษหดตัว 55.1%เมื่อเทียบปีต่อปี หดตัวแรงกว่ายอดส่งออกรวมที่หดตัว 17.7% อย่างไรก็ดีตลาดส่งออกยานยนต์ของไทยมีการกระจายตัวในหลายประเทศ และยอดส่งออกรถยนต์ไปอังกฤษคิดเป็นสัดส่วนเพียง 2.8% ของยอดส่งออกรถยนต์รวม จึงทำให้คาดว่าอุตสาหกรรมยานยนต์ไทยจะปรับตัวได้ไม่ยากนัก
ส่วนเนื้อสัตว์ซึ่งเป็นสินค้าส่งออกอันดับสอง คิดเป็นสัดส่วน 18% ของการส่งออกไทยไปอังกฤษในปี 58 น่าจะได้รับผลกระทบที่จำกัดเช่นกัน เนื่องจากเป็นกลุ่มสินค้าจำเป็นซึ่งความต้องการบริโภคไม่ได้ผันผวนตามวัฏจักรเศรษฐกิจมากนัก นอกจากนี้เนื้อสัตว์ส่งออกของไทยไปยังอังกฤษยังมีคู่แข่งค่อนข้างน้อย โดยอังกฤษพึ่งพาการนำเข้าเนื้อไก่จากไทยนับเป็นครึ่งหนึ่งของการนำเข้าทั้งหมด
ด้านผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลก กรณี Brexit น่าจะส่งผลให้ธนาคารกลางทั่วโลกผ่อนคลายนโยบายเพิ่มเติม เพื่อจำกัดผลกระทบทางเศรษฐกิจและบรรเทาความผันผวนของตลาดการเงิน โดยเราคาดธนาคารกลางอังกฤษ (BOE) จะลดดอกเบี้ยนโยบายลง 25 bps เป็น 0.25% ในการประชุมวันที่ 4 ส.ค. และอาจมีการลดดอกเบี้ยเพิ่มเติมหรือกลับมาทำมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) อีกครั้งในการประชุมครั้งถัดไป ด้านธนาคารกลางยุโรป (ECB) น่าจะมีการยืดอายุมาตรการ QE ออกไปอีก 6 เดือนไปเป็นสิ้นสุดเดือน ก.ย.60 ในการประชุมในช่วงไตรมาส 3 ส่วนธนาคารกลางญี่ปุ่นน่าจะประกาศลดดอกเบี้ยลงอีก ให้ติดลบเพิ่มขึ้นเป็น -0.2% ในการประชุมวันที่ 29 ก.ค. นี้
ส่วนธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) คาดว่าการขึ้นดอกเบี้ยชะลอออกไปอีกหลังเกิด Brexit โดยตลาดซื้อขายล่วงหน้าประเมินความเป็นไปได้ในการขึ้นดอกเบี้ยภายในปีนี้ลดลงจากราว 40% ก่อนหน้าประชามติเหลือเพียง 8% ในปัจจุบัน ยิ่งไปกว่านั้นตลาดบางส่วนยังคาดการณ์ว่าเฟดอาจกลับมาพิจารณาลดดอกเบี้ย โดยความเป็นไปได้ในการลดดอกเบี้ยอยู่ที่ราว 20%
แนวโน้มการผ่อนคลายนโยบายของธนาคารกลางหลักของโลก ซึ่งจะส่งผลกดดันให้ดอกเบี้ยอยู่ในระดับต่ำต่อไปอีกเป็นเวลานาน ประกอบกับความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจโลกที่เพิ่มขึ้น น่าจะส่งผลบวกต่อสินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนสม่ำเสมอและมีความผันผวนต่ำ เช่น REITs โดยเฉพาะในสหรัฐฯ (US REITs) และญี่ปุ่น (J-REITs) ที่จะได้ประโยชน์สูงสุดจากภาวะดอกเบี้ยต่ำ นอกจากนี้จากการที่นักลงทุนช็อคกับข่าว Brexit แล้วลดความเสี่ยงด้วยการเข้ามาถือเงินเยนมากขึ้นจนค่าเงินเยนแข็งค่าส่งผลในเชิงลบต่อตลาดหุ้นญี่ปุ่นที่ปรับตัวลดลงมาอย่างแรงไม่แพ้ตลาดหุ้นในแถบยุโรป
อย่างไรก็ดีมองว่าเป็นโอกาสในการลงทุนในหุ้นญี่ปุ่นเพราะเชื่อว่าเมื่อนักลงทุนคลายความกังวลก็จะเริ่มขายเงินเยนออกมาเนื่องจากอัตราผลตอบแทนของพันธบัตรญี่ปุ่นในตอนนี้ยังให้ผลตอบแทนที่ติดลบ สำหรับผู้ลงทุนที่ลงทุนในหุ้นยุโรปควรหาโอกาสลดน้ำหนักการลงทุนลงมาบ้างเพราะในระยะยาวยังมีความไม่แน่นอนทั้งทางเศรษฐกิจและการเมืองในอังกฤษและยุโรป ทั้งนี้ ทางดอยช์แบงก์ได้ประมาณการณ์ว่าการที่อังกฤษออกจากยุโรปจะส่งผลให้เศรษฐกิจของอังกฤษและยุโรปปรับตัวลดลงจากที่เคยคาดไว้โดยอังกฤษจะได้รับผลลบมากกว่าประเทศใหญ่ ๆ ในยุโรป