นายสมภพ กีระสุนทรพงษ์ กรรมการผู้อำนวยการ บล.ฟินันเซีย ไซรัส ในฐานะผู้จัดการการจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายหุ้นสามัญเพิ่มทุนของ บมจ.เอแอลที เทเลคอม (ALT) กล่าวว่า การที่ราคาหุ้น ALT ที่เข้าซื้อขายวันแรกในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ปรับตัวเพิ่มขึ้นกว่า 80% จากราคาเสนอขายหุ้นให้กับประชาชนทั่วไปครั้งแรก (IPO) ที่หุ้นละ 4.70 บาท นั้นน่าจะเป็้นผลจากการที่นักลงทุนต่างเชื่อมั่นกับความแข็งแกร่งของธุรกิจที่มีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง และมีการเติบโตไปพร้อมกับอุตสาหกรรมโทรคมนาคมของไทยที่ผู้ประกอบการให้บริการเครือข่ายมือถือรายใหญ่ทั้ง 3 ราย มีการลงทุนอย่างต่อเนื่อง โดยใช้งบลงทุนไม่ต่ำกว่า 1 แสนล้านบาท ซึ่งทำให้ ALT รับอานิสงส์จากการลงทุนของผู้ให้บริการทั้ง 3 รายตามไปด้วย
อีกทั้ง ALT ยังมีการจัดจำหน่ายสินค้า อุปกรณ์ และการให้บริการเช่าโครงสร้างพื้นฐานโทรคมนาคม ซึ่งมีการเติบโตที่ดีทั้งปัจจุบันและอนาคต โดยรายได้ของ ALT ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา (56-58) เติบโตกว่า 109% จาก 50 ล้านบาท ในปี 56 มาเป็น 220 ล้านบาทในปี 58 ซึ่งเป็นการเติบโตของรายได้ที่แข็งแกร่ง นอกจากนี้รายได้และกำไรในอนาคตของ ALT จะเติบโตจากการเพิ่มสัดส่วนกำไรของธุรกิจให้เช่าโครงสร้างพื้นฐานโทนรคมนาคมเป็น 50% ในอีก 5 ปีข้างหน้า ซึ่งเป็นอีกหนึ่งสาเหตุที่ส่งผลให้นักลงทุนมีความมั่นใจหุ้น ALT
นางปรีญาภรณ์ ตั้งเผ่าศักดิ์ กรรมการอำนวยการ ALT กล่าวว่า บริษัทมีความพอใจกับราคาหุ้นในช่วงเข้าทำการซื้อขายวันแรกซึ่งเชื่อว่านักลงทุนมั่นใจในตัวธุรกิจของบริษัทและอุตสาหกรรมโทรคมนาคมที่มีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยการขับเคลื่อนจากการลงทุนอย่างต่อเนื่องจาก 3 ค่ายผู้ให้บริการมือถือรายใหญ่ในประเทศ พร้อมกันนี้บริษัทยังใช้งบลงทุนต่อปีราว 300-350 ล้านบาท เพื่อใช้สำหรับทั้งใน 3 ธุรกิจหลัก ได้แก่ การให้เช่าโครงสร้างพื้นฐานโทรคมนาคม และจำหน่ายสินค้าที่เกี่ยวข้องกับโทรคมนาคม และก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานรวมถึงซ่อมแซมอุปกรณ์
ขณะที่บริษัทมั่นใจเป้าหมายรายได้ปีนี้จะโตไม่ต่ำกว่า 10% ตามอุตสาหกรรมโทรคมนาคม ที่มีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง จากฐานลูกค้าที่เพิ่มขึ้น ขณะเดียวกันยังตั้งเป้าว่าภายใน 5 ปี (59-63) สัดส่วนกำไรของธุรกิจให้เช่าโครงสร้างพื้นฐานโทรคมนาคมจะเพิ่มเป็น 50% ของกำไรสุทธิของทั้งบริษัท หลังจากไตรมาส 1/59 เริ่มมีกำไรจากส่วนนี้ทยอยเข้ามาแล้วราว 9.9 ล้านบาท โดยวัตถุประสงค์ของการเพิ่มสัดส่วนกำไรที่มาจากรายได้ประจำเพื่อให้บริษัทมีการเติบโตอย่างมั่นคงและสร้างผลตอบแทนให้แก่นักลงทุนได้ในระยะยาว
นอกจากนี้ บริษัทยังมีแผนขยายธุรกิจไปยังประเทศเพื่อนบ้าน โดยเฉพาะในกลุ่มประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) โดยเป็นการขยายในส่วนของธุรกิจโครงสร้างพื้นฐาน ซึ่งปัจจุบันได้เข้าไปขยายตลาดในเมียนมาแล้ว และอยู่ระหว่างศึกษาเพื่อเข้าไปขยายตลาดในประเทศรอบ ๆ ประเทศไทย อย่างเช่น มาเลเซีย กัมพูชา และลาว