นายแพทย์อำนาจ เอื้ออารีมิตร ผู้อำนวยการโรงพยาบาลเอกชัย บมจ.เอกชัยการแพทย์ (EKH) เปิดเผยว่า บริษัทฯ เตรียมนำเสนอข้อมูลบริษัทฯ ต่อนักลงทุนทั่วไป (โรดโชว์) ร่วมกับ บล.ฟินันเซีย ไซรัส ที่ปรึกษาทางการเงินและผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายที่จังหวัดสมุทรสาคร และกรุงเทพมหานคร ในวันพุธที่ 6 กรกฎาคม และศุกร์ที่ 8 กรกฎาคม 2559 เพื่อเป็นการให้ข้อมูลต่อนักลงทุนให้มีความเข้าใจในศักยภาพของ EKH คาดว่าจะสามารถเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) หมวดธุรกิจการแพทย์ ได้ในช่วงต้นไตรมาส 3/2559
โรงพยาบาลเอกชัย เป็นโรงพยาบาลเอกชนชั้นนำในจังหวัดสมุทรสาคร ซึ่งให้บริการเฉพาะลูกค้าทั่วไปที่ชำระเงินเอง โดยมีกลุ่มผู้ป่วยที่เข้ามาใช้บริการทั้งจากคนในพื้นที่จังหวัดสมุทรสาครและจังหวัดใกล้เคียง ซึ่งเปิดให้บริการมากว่า 10 ปี โดดเด่นเรื่องบุคลากรทางการแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญและประสบการณ์ในแต่ละสาขา โดยเฉพาะด้านสูติ-นรีเวช และกุมารเวช ที่มีความเชี่ยวชาญสูงเป็นพิเศษ รวมถึงแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านอื่นๆ ซึ่งปัจจุบันโรงพยาบาลฯ มีการให้บริการทางการแพทย์ครอบคลุม 16 ศูนย์ มีเตียงที่เปิดให้บริการ 86 เตียง และมีห้องตรวจทั้งหมด 38 ห้อง สามารถรองรับผู้ป่วยนอกได้ถึง 716 คนต่อวัน พร้อมด้วยเครื่องมือและอุปกรณ์ทางการแพทย์ที่ทันสมัย
บริษัทฯ มีจุดเด่นทางธุรกิจโดยมีแพทย์ผู้เชี่ยวชาญทางด้านสูตินรีเวชและกุมารเวชที่เกี่ยวข้องกับแม่และเด็ก รวมถึงมีศูนย์อุบัติเหตุฉุกเฉินที่สามารถรองรับอุบัติเหตุได้ตลอด 24 ชั่วโมง มีรายได้จากทั้งสามกลุ่มมากกว่า 50% จากสัดส่วนผู้ป่วยใน (IPD) 53% และผู้ป่วยนอก ( OPD) 47% โดยมีผู้ใช้บริการเพิ่มขึ้นทุกปีเฉลี่ย 10% เช่นเดียวกับรายได้ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมาเติบโตเฉลี่ย 10% สาเหตุหลักจากโรงพยาบาลตั้งอยู่ในจังหวัดที่มีการขยายตัวของประชากรอัตราการ เกิดใหม่ของทารกสูง ประกอบกับอยู่ในพื้นที่เขตอุตสาหกรรมซึ่งทางโรงพยาบาลสามารถรองรับเหตุเหตุฉุกเฉินได้ตลอดเวลา โดยการระดมทุนครั้งนี้ EKH จะนำไปสร้างศูนย์กุมารเวชแห่งใหม่ ขนาด 50 เตียง เพื่อรองรับการรักษาพยาบาลสำหรับเด็กทั้งผู้ป่วยนอกและผู้ป่วยใน ซึ่งจะใช้งบลงทุน 200 ล้านบาท คาดว่าจะเริ่มก่อสร้างภายในปี 60 คาดจะแล้วเสร็จพร้อมเปิดให้บริการในต้นปี 62 และส่วนที่เหลือจะใช้ปรับปรุงอาคารเดิม และใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียน
ด้านนายสมภพ กีระสุนทรพงษ์ กรรมการผู้อำนวยการ บล.ฟินันเซีย ไซรัส ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงินและผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย หุ้นสามัญเพิ่มทุน ของ EKH กล่าวว่า การโรดโชว์ข้อมูลต่อนักลงทุนในครั้งนี้เพื่อให้นักลงทุนมีความเข้าใจในศักยภาพของโรงพยาบาลที่แข็งแกร่ง โดยการนำเสนอข้อมูลครั้งนี้คาดว่าจะได้รับความสนใจจากนักลงทุนอย่างล้นหลาม ทั้งจากประชาชนในจังหวัดสมุทรสาครที่รู้จักโรงพยาบาลเอกชัยเป็นอย่างดีรวมทั้งนักลงทุนในจังหวัดกรุงเทพมหานคร โดย EKH มีความสามารถในการทำกำไรสูง มีฐานะทางการเงินที่แข็งแกร่ง ด้วยบุคลากรทางการแพทย์ที่เชี่ยวชาญการบริการที่มีคุณภาพ พร้อมทั้งโอกาสในการเติบโตจากศูนย์กุมารเวชแห่งใหม่ ประกอบกับอุตสาหกรรมการแพทย์ที่มีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง
"EKH เป็นอีกหนึ่งบริษัทที่มีความน่าสนใจสำหรับนักลงทุน ซึ่ง EKH จะเข้าซื้อขายใน SET ประมาณช่วงต้นไตรมาส 3/59 คาดว่าภายหลังการโรดโชว์จะสามารถกำหนดราคาเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนได้ โดยโรงพยาบาลเอกชัยเป็นอีกหนึ่งบริษัทจดทะเบียนที่มีศักยภาพในการเติบโตสูงทั้งรายได้และกำไร การเข้ามาระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ครั้งนี้จะเป็นอีกปัจจัยสำคัญที่ทำให้โรงพยาบาลมีการเติบโตอย่างโดดเด่นในอนาคตจากการรองรับผู้ป่วยศูนย์กุมารเวชได้เพิ่มขึ้น"นายสมภพกล่าว
ปัจจุบัน โรงพยาบาลเอกชัย มีทุนจดทะเบียนจำนวน 300 ล้านบาท และมีทุนจดทะเบียนที่ออกและเรียกชำระแล้วจำนวน 216.60 ล้านบาท แบ่งเป็นหุ้นสามัญจำนวน 433.20 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 0.50 บาท ภายหลังการเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนต่อประชาชนในครั้งนี้ โรงพยาบาลฯ จะมีทุนจดทะเบียนชำระแล้วเป็น 300 ล้านบาท โดยมีกลุ่มเอื้ออารีมิตร และกลุ่มตั้งสัจจะพจน์ เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ของโรงพยาบาล ถือหุ้นสัดส่วน 19.26% และ 17.87% ตามลำดับ ภายหลังการเสนอขายหุ้น IPO
สำหรับผลประกอบการงวดไตรมาส 1/2559 โรงพยาบาลฯ มีรายได้รวมอยู่ที่ 119.23 ล้านบาท คิดเป็นการปรับเพิ่มขึ้น 21.51 ล้านบาท หรือ 21.56% จากงวดเดียวกันของปีก่อนอยุ่ที่ 98.08 ล้านบาท ซึ่งเป็นรายได้จากผู้ป่วยนอก 55.08 ล้านบาท และรายได้จากผู้ป่วยใน 62.45 ล้านบาท เป็นผลจากลูกค้าที่เข้ามาทำการรักษาเพิ่มสูงขึ้นจากความเชื่อมั่นของผู้ใช้บริการ ทั้งลูกค้าทั่วไปและลูกค้าคู่สัญญา ส่งผลให้โรงพยาบาลฯ มีกำไรสุทธิเพิ่มขึ้นอยู่ที่17.67 ล้านบาท คิดเป็นการปรับเพิ่มขึ้น 10.79 ล้านบาท หรือ 156.83% จากงวดเดียวกันของปีก่อนอยู่ที่ 6.88 ล้านบาท สำหรับผลประกอบการในปี 2558 บริษัทฯ มีรายได้รวมอยู่ที่ 438.61 ล้านบาท กำไรสุทธิอยู่ที่ 48.57 ล้านบาท