นายนาวิน อินทรสมบัติ รองกรรมการผู้จัดการ บลจ.กสิกรไทย เปิดเผยว่า ในระหว่างวันที่ 11-15 กรกฎาคม 2559 บลจ.กสิกรไทย เตรียมเสนอขายกองทุนเปิดเค มินิมั่ม โวลาติลิตี้ หุ้นทุน (K-MVEQ) โดยกองทุนมีนโยบายลงทุนในหุ้นไทยที่เป็นส่วนประกอบของดัชนี SET 100 โดยใช้การวิเคราะห์เชิงปริมาณ และสร้างพอร์ตการลงทุนโดยใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์ที่พัฒนาขึ้นโดยกสิกรไทย เพื่อมุ่งหวังให้ความผันผวนของผลตอบแทนของพอร์ตการลงทุนโดยรวมอยู่ในระดับต่ำที่สุด
กองทุน K-MVEQ หรือกองทุนเค มิน โวล ถือเป็นรูปแบบการลงทุนทางเลือกใหม่ที่มีการใช้กลยุทธ์การบริหารที่เรียกว่า Minimum Volatility ซึ่งเป็นกลยุทธ์หนึ่งที่ได้รับความนิยมสูงในช่วงที่ผ่านมา โดยเฉพาะในช่วงภาวะตลาดการเงินโลกมีความไม่แน่นอนและมีความผันผวนสูง เนื่องจากกลยุทธ์ดังกล่าวมีข้อดีคือ สามารถช่วยลดความผันผวนของพอร์ตการลงทุนให้อยู่ในระดับต่ำ ทั้งนี้ในช่วงตลาดปรับตัวลงก็จะสามารถช่วยปกป้องเงินลงทุนหรือช่วยลดภาวะการขาดทุนให้น้อยลงได้ ขณะที่ในช่วงตลาดปรับตัวขึ้น แม้ว่าผลตอบแทนของพอร์ตการลงทุนอาจไม่ได้ปรับตัวขึ้นสูงเท่ากับตลาด เพราะกลยุทธ์ดังกล่าวมีเป้าหมายเพื่อลดความผันผวนให้ต่ำที่สุด อย่างไรก็ตาม เนื่องด้วยมีการนำปัจจัยเรื่องความเสี่ยงเข้ามาพิจารณากำหนดสัดส่วนการลงทุนด้วย ทำให้เมื่อปรับด้วยความเสี่ยงแล้ว กลยุทธ์ Minimum Volatility ยังมีโอกาสให้ผลตอบแทนที่สูงกว่าเกณฑ์มาตรฐานด้วย
สำหรับกระบวนการสร้างพอร์ตการลงทุนของกองทุน K-MVEQ เบื้องต้นจะมีการกำหนดเกณฑ์การคัดกรองหุ้นจากในดัชนี SET 100 โดยใช้เกณฑ์ประเมิน เช่น สภาพคล่องและมูลค่าหุ้นที่แท้จริง (Valuation) เพื่อคัดเลือกหุ้นออกมาจำนวนหนึ่ง จากนั้นจะนำมาสร้างพอร์ตการลงทุนโดยใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์ โดยโปรแกรมจะทำการคัดเลือกหุ้น ซึ่งโดยปกติแล้วจะคัดให้เหลือไม่เกิน 25 ตัว และจะกำหนดสัดส่วนการลงทุนที่เหมาะสมโดยให้น้ำหนักในหุ้นแต่ละตัวไม่เกิน 10% เพื่อสร้างพอร์ตการลงทุนที่มีความผันผวนต่ำที่สุด
ด้านมุมมองการลงทุนในตลาดหุ้นไทย มองเป้าหมายดัชนี ณ สิ้นปี 59 อยู่ที่ระดับ 1,450–1,500 จุด โดยตลาดหุ้นไทยในไตรมาส 1/59 กลับมาให้ผลตอบแทนที่โดดเด่น โดย ปรับตัวขึ้นกว่า 9% นำประเทศอื่นๆในภูมิภาค ด้วยแรงหนุนของเม็ดเงินลงทุนต่างชาติที่ไหลกลับมาลงทุนในภูมิภาคเอเชีย ส่วนตัวเลข GDP ของไทยไตรมาสแรกออกมาดีกว่าที่คาด โดยขยายตัว 3.2% จากปีก่อนหน้า เนื่องจากมีแรงหนุนจากการท่องเที่ยวและการใช้จ่ายภาครัฐ นอกจากนี้สภาพคล่องในตลาดการเงินโลกที่ยังอยู่ในระดับสูงจากนโยบายผ่อนคลายทางการเงินของธนาคารกลางหลักๆ อาทิ ธนาคารกลางยุโรปและญี่ปุ่น ยังเป็นปัจจัยบวกต่อตลาดหุ้นไทย
อย่างไรก็ตาม ปัจจัยเสี่ยงที่ผู้ลงทุนจะต้องติดตามและอาจมีผลกระทบต่อตลาดหุ้นไทย อาทิ หนี้ครัวเรือนที่สูงขึ้นต่อเนื่อง หนี้เสียในระบบธนาคารพาณิชย์ที่ยังคงเพิ่มขึ้น และตัวเลขการส่งออกที่ชะลอลง อาจส่งผลกระทบต่อบรรยากาศการลงทุน นอกจากนี้ยังมีปัจจัยเสี่ยงจากภายนอกประเทศ อาทิ ทิศทางการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของสหรัฐฯ ที่ยังมีความไม่แน่นอน อาจส่งผลกระทบต่อกระแสเงินทุนเคลื่อนย้าย ผลกระทบภายหลังเหตุการณ์ Brexit ที่ยังกดดันบรรยากาศการลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงทั่วโลก รวมถึงการชะลอตัวของเศรษฐกิจจีนซึ่งเป็นอุปสงค์ขนาดใหญ่ของโลก ที่อาจส่งผลกระทบต่อปริมาณการค้าการลงทุนระหว่างประเทศ
ดังนั้นในภาวะตลาดการเงินโลกที่ยังมีความอ่อนไหว และยังคงมีความผันผวนสูงนี้ กองทุน K-MVEQ ที่มีจุดเด่นคือสามารถช่วยลดความผันผวนจากการลงทุนในหุ้น จึงเป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่ตอบโจทย์สำหรับผู้ลงทุนที่ต้องการลงทุนในหุ้นไทย แต่ต้องการลดความเสี่ยงของพอร์ตการลงทุนให้น้อยลง และยังต้องการความมั่นใจแม้ในสภาพตลาดที่มีความไม่แน่นอนนี้