นายมงคล พ่วงเภตรา ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ กลยุทธ์การลงทุน บล.เคทีบี (ประเทศไทย) (KTBST) เปิดเผยว่า ทิศทางตลาดหุ้นไทยวันนี้มองกรอบดัชนีที่ 1,450-1,468 จุด ปัจจัยเรื่อง Brexit ยังไม่มีเรื่องใหม่เข้ามากระทบ ค่าเงินปอนด์จึงทรง ๆ ตัว แต่ตลาดอาจไปให้ความสนใจราคาน้ำมันดิบ WTI และ Brent ที่ปรับตัวลดลง 2 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล เพราะตัวเลขสต็อกน้ำมันดิบสหรัฐฯที่อยู่ในระดับสูง
อย่างไรก็ตาม มองว่ายังไม่น่าเปลี่ยนทิศทางราคาน้ำมันดิบได้ เพียงแต่จะถูกจำกัดกรอบไม่ให้เกิน 50 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรลเท่านั้นทำให้ หุ้นกลุ่มผู้ผลิตน้ำมัน และโรงกลั่นน้ำมัน ขาดความน่าสนใจผลกระทบจากราคาน้ำมันดิบที่ลดลงจึงมีผลเฉพาะกลุ่มที่เกี่ยวข้องโดยตรง
ด้านปัจจัยในประเทศนั้น รองนายกรัฐมนตรียังมองเศรษฐกิจไตรมาส 2/59 โตเกิน 3.0% จากไตรมาสแรกโต 3.2% และแผนกระตุ้นการลงทุนที่ยังคงเป็นปัจจัยบวกต่อตลาดหุ้นไทย อีกทั้ง การกลับเข้ามาซื้อหุ้นของนักลงทุนต่างประเทศ พร้อมกับการสูงขึ้นของดัชนีฯวานนี้ที่แข็งแกร่งเมื่อเทียบกับตลาดอื่นๆ ทำให้ภาพของตลาดหุ้นมีโอกาสที่จะบวกต่อ แต่จะเป็นลักษณะของไซด์เวย์ เนื่องจากใกล้ระดับเป้าหมายที่เรามองไว้ที่ 1,468 จุดเข้ามาทุกขณะ
นอกจากนี้ ในสัปดาห์หน้าตลาดหุ้นไทยจะต้องรับรู้ผลของตัวเลขการจ้างงานของสหรัฐฯที่จะรายงานในวันนี้ (Non-farm payroll +180k จากเดือนก่อน +38k) และตัวเลขเศรษฐกิจที่สำคัญ ๆ ของจริงในช่วงต้นสัปดาห์ คือ ตัวเลขส่งออก,ตัวเลขผลผลิตภาคอุตสาหกรรม และตัวเลข GDP ไตรมาสที่ 2 ซึ่งจะเป็นเหตุให้ นักลงทุนบางส่วนจะชะลอการลงทุนในวันนี้ เพื่อรอดูตัวเลขดังกล่าว จึงทำให้เรามองตลาดเพียงแค่บวกแบบอ่อนๆ
ส่วนปัจจัยที่จะมีผลต่อตลาดในระหว่างวัน จะเป็นราคาน้ำมันดิบในตลาดโลก ผลการหารือระหว่างธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) ต่อสถานการณ์ในปัจจุบัน และผลการประมูลรถเมล์ NGV ที่มีบริษัทในตลาด คือ CHO เข้าร่วมประมูล
ด้านกลยุทธ์การลงทุนภาพรวมของตลาดยังเป็นบวก เพียงแต่จะผันผวนตามปัจจัยหลายตัวที่มีผล ทั้ง BRExit และราคาน้ำมัน ดังนั้น กลยุทธ์การลงทุนในวันนี้จึงให้เป็น 2 ทาง คือ นักลงทุนที่มีหุ้นในพอร์ตที่ราคาปรับตัวขึ้นมาระดับหนึ่ง อาจเลือกขายทำกำไรเพื่อลดความเสี่ยง ขณะที่นักลงทุนที่กำลังรอจังหวะเข้าซื้อ เรายังแนะนำหุ้นกลุ่ม Domestic Play หุ้นที่มีการจ่ายเงินปันผล (Dividend yield) งวดกลางปี ที่ให้จ่ายปันผลสูงเช่นเดิม และหุ้นที่คาดว่าจะได้รับความสนใจจากนักลงทุน อาทิ BANPU, AMATA, BAFS, SPCG