นายมงคล พ่วงเภตรา ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ กลยุทธ์การลงทุน บล.เคทีบี (ประเทศไทย) (KTBST) กล่าวถึง ทิศทางตลาดหุ้นไทยในสัปดาห์นี้ว่า ผลการเลือกตั้งในสภาสูงของญี่ปุ่น จะหนุนให้บรรยากาศการลงทุนในตลาดหุ้นเอเชียดีขึ้น ต่อเนื่องจากคืนวันศุกร์ที่สหรัฐฯมีการรายงานตัวเลขการจ้างงานที่ออกมาดีกว่าที่ตลาดคาด โดยส่งผลบวกมาถึงตลาดหุ้นในสัปดาห์นี้
ขณะที่ประเด็นในเรื่องของ BRExit นั้นยังไม่มีการเพิ่มความกังวลให้กับนักลงทุนในเวลานี้ เพราะตลาดรอดูผลการประชุมธนาคารกลางอังกฤษในวันพฤหัสว่าจะปรับนโยบายทางการเงินทั้ง ดอกเบี้ยและ QE เพื่อรองรับผลของ BRExit ในอนาคต หลังไม่มีการปรับนโยบายทางการเงินนี้มานานหลายปี ดังนั้นปัจจัยในต่างประเทศ จึงให้น้ำหนักไปในทางที่เป็นบวก
ส่วนปัจจัยในประเทศ ตลาดยังรับปัจจัยเดิมๆ เพราะขาดปัจจัยใหม่ๆเข้ามาในตลาด ดังนั้น ในช่วงนี้หุ้นในกลุ่มที่เติบโตจากเศรษฐกิจภายในประเทศ (Domestic Play) และกลุ่มที่เป็นการลงทุนของทั้งภาครัฐกับเอกชนยังเป็นกลุ่มนำตลาดต่อไป ขณะที่การเก็งกำไรงบไตรมาส 2 นั้นจะเป็นการเก็งเป็นรายตัวไป รวมถึงหุ้นที่มีการจ่ายเงินปันผลกลางปีด้วย
กลยุทธ์การลงทุนในสัปดาห์นี้มองว่าตลาดหุ้นอาจจะไม่เคลื่อนไหวไม่ดีเหมือนสัปดาห์ก่อน จึงแนะให้รอซื้อเมื่ออ่อนตัวหรือเลือกขายกำไรบางส่วนในหุ้นที่ปรับตัวสูงขึ้นมาก มองกรอบว่าดัชนีหุ้นในสัปดาห์นี้ที่ 1,468-1,485 จุด สำหรับหุ้นแนะนำได้แก่
AMATA โดยมองว่าเรื่องการลงทุนทั้งในประเทศและเวียดนามที่น่าจะสูงขึ้น
IRCP โดยอยู่ในธุรกิจ ICT ที่จะเป็นคลื่นลูกต่อไปของตลาดหุ้น เช่น E-payment
CPALL กลุ่มค้าปลีกที่ได้ดีทั้งเศรษฐกิจดีและไม่ดี
PLANB การใช้จ่ายผ่านสื่อ Outdoor โตถึง 18% ใน5 เดือนแรก
LPN ระดับ P/E ที่ต่ำถึงถึง 6 เท่าแต่ให้เงินปันผล 6%
BAFS โอกาสในอนาคต จากการขยายสนามบิน ทั้งสุวรรณภูมิ ดอนเมือง และที่อื่นๆ
ด้านนายชาตรี โรจนอาภา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายกลยุทธ์และพัฒนาผลิตภัณฑ์ บล.เคทีบี (ประเทศไทย) มองว่าตลาดหุ้นในสัปดาห์นี้ยังได้รับปัจจัยบวกเรื่องต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรของสหรัฐฯที่พุ่งขึ้น 28,7000 ตำแหน่งในเดือน มิ.ย. จากระดับ 38,000 ตำแหน่งในเดือน พ.ค.สะท้อนให้เห็นว่าเศรษฐกิจของสหรัฐฯดีขึ้น แต่ก็ยังคาดว่าสหรัฐฯจะยังไม่ขึ้นอัตราดอกเบี้ยในเร็วๆนี้ รวมไปถึงการประกาศตัวเลข จีดีพี ของจีนในไตรมาส 2 ที่คาดว่าจะเติบโตอยู่ที่ระดับ 6.6% และการที่ธนาคารกลางอังกฤษ อาจจะประกาศลดอัตราดอกเบี้ยลงเพื่อรับมือจากการที่เศรษฐกิจได้รับผลกระทบจากเรื่อง BRExit คาดว่าอาจลดดอกเบี้ยลง 0.25% จากเดิมอยู่ที่ 0.50% รวมทั้งการเพิ่มวงเงินซื้อพันธบัตรอีก 375,0000 ล้านปอนด์ เพื่อเพิ่มสภาพคล่องในระบบ
ดังนั้นจากปัจจัยดังกล่าวน่าจะส่งผลให้ตลาดหุ้นในสัปดาห์นี้น่ามีแรงวิ่งต่อไปได้ แต่ก็คาดว่าจะเป็นการปรับตัวขึ้นในระยะสั้นเท่านั้น เพราะยังมีปัจจัยลบที่ต้องติดตามอยู่ไม่ว่าจะเป็นเรื่องจำนวนหนี้ที่สูงของจีนและของอิตาลีซึ่งก็ยังเป็นเรื่องที่ทางธนาคารยุโรปต้องเร่งแก้ปัญหา ซึ่งก็มีการคาดการณ์ว่าทาง ECB อาจต้องอัดฉีดเงินเพิ่มอีกประมาณ 150,000 ล้านยูโร เพื่อเพิ่มศักยภาพให้กับธนาคารในยุโรป
ดังนั้นกลยุทธ์การลงทุนของ บล. KTBST ยังให้น้ำหนักในตลาดหุ้น ญี่ปุ่น และเอเชียที่ไม่ได้รับผลกระทบจากเรื่อง BRExit ขณะที่หุ้นสหรัฐฯแม้เศรษฐกิจมีแนวโน้มเติบโตดีขึ้นแต่หุ้นที่ปรับตัวขึ้นมากอาจมองว่าเป็นระดับราคาที่แพง โดยการลงทุนที่ยังแนะนำยังคงเป็นการลงทุนในกองทุนอสังหาริมทรัพย์ประเภทโครงสร้างพื้นฐาน หุ้นกู้ภาคเอกชน
ส่วนทิศทางราคาทองคำมองว่าแนวโน้มโน้มยังคงไปได้ต่อเพราะยังได้ปัจจัยจากความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจที่ยังมีอยู่ มองว่าราคาอาจไปถึงที่ระดับ 1,400 เหรียญฯได้