บมจ.โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น (DTAC) ปรับประมาณการปี 2559 ใหม่เพื่อให้สะท้อนผลการดำแนินงานในครึ่งปีแรก และสอดคล้องกับแนวโน้มสถานการณ์ตลาดในครึ่งปีหลัง โดยได้ปรับประมาณการรายได้จากการให้บริการไม่รวมค่าเชื่อมโยงโครงข่าย (IC) เป็นลดลงเล็กน้อยจากปีที่แล้ว จากเดิมที่คาดจะอยู่ในระดับทรงตัวหรือเพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากปี 58
พร้อมกันนี้ได้ปรับประมาณการอัตรากำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ,ภาษี,ค่าเสื่อม และค่าตัดจำหน่าย (EBITDA Margin) มาที่ระดับ 31-33% จากเดิมที่ 27-31% โดยการให้ส่วนลดค่าเครื่องโทรศัพท์เป็นปัจจัยที่มีผลต่อการเปลี่ยนแปลง EBITDA Margin ขณะที่บริษัทยังคงประมาณการเงินลงทุนไว้อยู่ในระดับเดียวกับปีที่แล้วซึ่งอยู่ที่ประมาณ 20,000 ล้านบาท
นอกจากนี้ยังคงนโยบายการจ่ายปันผล โดยมีนโยบายการจ่ายเงินปันผลไม่ต่ำกว่า 50% ของกำไรสุทธิของบริษัท ขึ้นอยู่กับฐานะทางการเงินและแผนการประกอบธุรกิจของบริษัทในอนาคต
DTAC ระบุอีกว่า ตลาดบริการโทรคมนาคมยังคงมีแนวโน้มแข่งขันอย่างต่อเนื่องในครึ่งหลังของปีนี้ โดยคาดว่าผู้ให้บริการจะใช้ข้อเสนอเครื่องโทรศัพท์ในการสร้างฐานลูกค้า และคาดว่าการให้ส่วนลดค่าเครื่องโทรศัพท์ในกลุ่มลูกค้าระบบเติมเงินจะยังมีอยู่ในตลาดอีกระยะหนึ่ง ขณะที่บริการข้อมูลหรืออินเตอร์เน็ต ยังคงเป็นบริการที่ช่วยสร้างการเติบโตของรายได้ ซึ่งเป็นผลสืบเนื่องจากข้อเสนอด้านเครื่องโทรศัพท์ และการใช้อินเตอร์เน็ตที่สูงขึ้น จากการบริโภคคอนเทนต์ประเภทสตรีมมิ่งที่กำลังเติบโต และประสบการณ์ในงานอินเตอร์เน็ตที่ดียิ่งขึ้นจากเทคโนโลยี 4G
ทั้งนี้ ราคาค่าบริการอินเตอร์เน็ตคาดว่าจะทรงตัวภายหลังจากผู้ให้บริการได้นำเสนอค่าบริการ 4G ใหม่เมื่อช่วงต้นปีที่ผ่านมา ซึ่งให้ปริมาณการใช้งานอินเตอร์เน็ตต่อเดือนจำนวนมาก อย่างไรก็ดีรายได้จากบริการเสียงยังคงมีแนวโน้มที่ลดลง
ในส่วนของบริษัทหลังจากได้เปิดให้บริการโครงข่าย 4G ในทุกจังหวัดในช่วงครึ่งแรกของปีนี้ รวมทั้งให้บริการ 4G-1800MHz ด้วยปริมาณคลื่นความถี่เต็ม 20MHz ในพื้นที่กรุงเทพฯและปริมณฑลแล้ว บริษัทจะพัฒนาโครงข่าย 4G อย่างต่อเนื่อง โดยจะขยายโครงข่าย 4G-2.1GHz ในทุกอำเภอทั่วประเทศไทยภายในไตรมาส 3/59 และมีเป้าหมายจะสร้างฐานผู้ใช้บริการ 4G จำนวน 6 ล้านเลขหมายภายในสิ้นปีนี้
สำหรับไตรมาส 2/59 บริษัทมีกำไรสุทธิ 141.28 ล้านบาท ลดลง 90% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และมีรายได้จากการให้บริการไม่รวม IC ลดลง 2.4% มาที่ 1.6 หมื่นล้านบาท โดยมี EBITDA ลดลง 1.8% มาที่ 6.6 พันล้านบาท ซึ่งเป็นผลจากรายได้จากการให้บริการลดลง ผลขาดทุนจากการจำหน่ายเครื่องโทรศัพท์ที่เพิ่มขึ้น และมีค่าใช้จ่ายด้านโครงข่ายและค่าใช้จ่ายในการขายและการตลาดที่สูงขึ้น ขณะที่มีกำไรสุทธิลดลงส่วนใหญ่เกิดจากค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายที่สูงขึ้น จากการขยายโครงข่าย รวมทั้งมี EBITDA ที่ลดลง และค่าใช้จ่ายพิเศษในการปรับโครงสร้างจำนวน 394 ล้านบาท