นายทักษิณ ตันติไพจิตร กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไฟร์เทรดเอ็นจิเนียริ่ง จำกัด เปิดเผยว่า บริษัทแต่งตั้งให้ บริษัท แอสเซท โปร แมเนจเม้นท์ (APM) เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน เตรียมความพร้อมในการนำบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) คาดว่าจะเป็นในปี 60 เพื่อระดมทุนใช้สร้างคลังสินค้าแห่งใหม่ ตั้งสำนักงานสาขาในหัวเมืองใหญ่ และใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในการขยายธุรกิจ หวังรักษาตำแหน่งผู้นำตลาดอุปกรณ์ดับเพลิงครบวงจรในไทยอย่างต่อเนื่อง ผลักดันรายได้เติบโตเฉลี่ยไม่ต่ำกว่า 10% ต่อปี
ทั้งนี้ ไฟร์เทรดเอ็นจิเนียริ่ง เป็นผู้นำเข้า จัดจำหน่ายอุปกรณ์ดับเพลิงแบบครบวงจร เครื่องสูบน้ำดับเพลิง วาล์ว อุปกรณ์ประกอบของระบบดับเพลิง ระบบดับเพลิงด้วยก๊าซ ระบบดับเพลิงด้วยโฟม ระบบดับเพลิงห้องครัว ระบบสัญญาณแจ้งเหตุเพลิงไหม้ และการให้บริการติดตั้งระบบดับเพลิงและระบบสัญญาณแจ้งเหตุไฟไหม้ในสถานที่ต่าง ๆ ทั้งอาคารที่อยู่อาศัย สำนักงาน ศูนย์การค้า โรงแรม โรงพยาบาล ห้อมคอมพิวเตอร์ ดาต้าเว็นเตอร์ ห้องครัว โรงงานอุตสาหกราม สถานีไฟฟ้าย่อย โรงไฟฟ้า และ สนามบิน เป็นต้น
นายทักษิณ กล่าวว่า บริษัทจะมีการปรับโครงสร้างและแปรสภาพเป็นบริษัทมหาชน เพื่อเตรียมจัดทำแบบแสดงรายการข้อมูล (ไฟลิ่ง) ที่จะเสนอต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ขออนุญาตเสนอขายหุ้นเพิ่มทุนต่อประชาชนทั่วไปครั้งแรก (IPO) เพื่อระดมทุนมาใช้ตามแผนงานของบริษัทที่จะซื้อที่ดินสร้างคลังสินค้าใหม่ทดแทนการเช่าพื้นที่เดิม คาดว่าจะใช้เงินลงทุนราว 120 ล้านบาท และใช้เป็นทุนหมุนเวียนในการเพิ่มศักยภาพรับงานออกแบบและติดตั้งระบบดับเพลิง ซึ่งเป็นงานที่ให้อัตรากำไรที่ดี
นอกจากนั้น บริษัทยังจะใช้เงินทุนเพื่อรองรับแผนตั้งสำนักงานสาขาในต่างจังหวัด เบื้องต้นได้แก่ เชียงใหม่ ภูเก็ต และระยอง ซึ่งเป็นจุดที่มีลูกค้าเป้าหมายเป็นจำนวนมาก รวมทั้งบริษัทสนใจขยายสาขาไปยังต่างประเทศในอนาคตภายใน 1-2 ปีข้างหน้า ทั้งลาว พม่า และ กัมพูชา หลังจากเข้ายื่นประมูลงานระบบดับเพลิงในโรงไฟฟ้าในประเทศเพื่อนบ้านบ้างแล้ว คือ โรงไฟฟ้าหงสา และโรงไฟฟ้ามหาไซย
นายทักษิณ กล่าวอีกว่า บริษัทมีเป้าหมายทางธุรกิจที่จะรักษายอดขายเป็นอันดับ 1 ของอุปกรณ์ดับเพลิงครบวงจรในประเทศต่อไป หลังจากครองตำแหน่งดังกล่าวมาอย่างต่อเนื่องหลายปี และตั้งเป้าหมายรักษาอัตราการเติบโตของรายได้ไม่ต่ำกว่า 10% ต่อปีตามที่เคยทำมาในอดีต ซึ่งในปีนี้คาดว่าจะมีรายได้เพิ่มขึ้นเป็นราว 850 ล้านบาท ขณะที่กำไรของบริษัทก็เติบโตอย่างต่อเนื่องในทิศทางเดียวกับรายได้ โดยในปีนี้คาดว่าจะมีกำไรสูงกว่าปี 58 ที่ทำได้ 74 ล้านบาท ซึ่งบริษัทมีอัตรากำไรขั้นต้นราว 24-25% และอัตรากำไรสุทธิที่ราว 10%
บริษัทสามารถเติบโตอย่างยั่งยืนมาได้ตลอด 17 ปี เนื่องจากมีทีมวิศวกรที่เชี่ยวชาญ และทีมงานมีประสบการณ์ในด้านการออกแบบและการติดตั้งระบบดับเพลิงด้วยสารเคมีชนิดต่าง ๆ และระบบสัญญาณแจ้งเหตุเพลิงไหม้ อีกทั้งบริษัทมีความสัมพันธ์อันดีกับซัพพลายเออร์ชั้นนำระดับโลกมายาวนาน โดยบริษัทมีสินค้ากว่า 9,000 รายการ และสินค้าส่วนใหญ่ได้รับมาตรฐาน ULFM ของสหรัฐที่ได้รับการยอมรับจากผู้ใช้งานในวงกว้าง
ลูกค้าเป้าหมายหลักเป็นโครงการก่อสร้างอาคารทั้งขนาดเล็กและขนาดใหญ่หลากหลายประเภทการใช้งาน โรงงานอุตสาหกรรม โครงการด้านโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ อย่างโรงไฟฟ้า สนามบิน ซึ่งจะต้องมีการติดตั้งระบบดับเพลิงตามกฎหมายควบคุมอาคาร หรือประกาศของกระทรวงอุตสาหกรรม โดยมีทั้งลูกค้าทางตรงที่เป็นเจ้าของโครงการ และทางอ้อมที่ขายผ่านผู้รับเหมา รวมทั้งการขายผ่านผู้จัดจำหน่ายต่าง ๆ
นายทักษิณ กล่าวว่า รายได้หลักของบริษัทในสัดส่วน 70% มาจากการขายอุปกรณ์ดับเพลิงและอุปกรณ์ประกอบต่าง ๆ ซึ่งบริษัทเป็นตัวแทนจำหน่ายสินค้าหลากหลาย ได้แก่ วาล์ว ถังดับเพลิง อุปกรณ์ตรวจจับควันและความร้อน โดยได้รับการแต่งตั้งเป็นตัวแทนจำหน่ายทั่วไปให้กับ 26 ตราสินค้า และเป็นตัวแทนจำหน่ายสินค้ารายเดียวในประเทศไทยให้กับ 10 ตราสินค้า
ขณะที่สัดส่วนรายได้ที่เหลืออีก 30% จะมาจากงานให้บริการออกแบบและติดตั้งระบบดับเพลิงอัตโนมัติและระบสัญญาณแจ้งเหตุเพลิงไหม้ ในลักษณะการให้บริการเริ่มตั้งแต่การให้คำปรึกษา ออกแบบ ติดตั้งระบบ ซึ่งในอนาคตบริษัทมีแผนขยายสัดส่วนรายได้ในส่วนนี้ให้เพิ่มขึ้น
ทั้งนี้ บริษัทเล็งเห็นแนวโน้มการเติบโตของอุตสาหกรรมก่อสร้างที่จะมีผลดีต่อธุรกิจของบริษัท เนื่องจากปัจจุบันมีการบังคับใช้กฎหมายควบคุมอาคาร และประกาศกระทรวงอุตสาหกรรม ในส่วนของการติดตั้งระบบดับเพลิงและสัญญาณแจ้งเหตุเพลิงไหม้ในอาคารและโรงงานตาง ๆ อย่างเคร่งครัด ทั้งที่ก่อสร้างใหม่ รวมถึงการตรวจสอบอาคาร-โรงงานเก่าที่จำเป็นต้องติดตั้งระบบดังกล่าว
อีกทั้งงานโครงการก่อสร้างระบบโครงสร้างพื้นฐานของภาครัฐ โครงการรถไฟฟ้าใต้ดินส่วนต่อขยาย, โครงการขยายสนามบินสุวรรณภูมิเฟส 2, ถนนสายต่าง ๆ ระบบราง โรงไฟฟ้าทั้งพลังงานทดแทนและโรงไฟฟ้าขนาดใหญ่ และงานนำสายไฟฟ้าลงดิน ซึ่งเป็นโอกาสในการเข้ารับงานที่จะส่งผลให้บริษัทมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยปัจจจุบันสัดส่วนงานของภาครัฐอยู่ที่ 20% เอกชนอยู่ที่ 80%