SPALI เจรจาพันธมิตรท้องถิ่นขยายลงทุนพม่า-อินโดฯ ในช่วง 5 ปีนี้,มั่นใจยอดขาย-รายได้ปี 59 เข้าเป้า

ข่าวหุ้น-การเงิน Wednesday July 13, 2016 15:41 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายประทีป ตั้งมติธรรม ประธานกรรมการบริหาร บมจ.ศุภาลัย (SPALI) เปิดเผยว่า บริษัทคาดว่าภายใน 5 ปีนี้จะมีข้อสรุปการขยายการลงทุนในต่างประเทศเพิ่มเติมในประเทศพม่าและอินโดนีเซีย ซึ่งปัจจุบันบริษัทได้ศึกษาและอยู่ระหว่างการเจรจากับพันธมิตรท้องถิ่น โดยในประเทศอินโดนีเซียบริษัทได้เจรจากับพันธมิตรไปเกือบเสร็จสมบูรณ์แล้ว ติดแค่รูปแบบของการพัฒนาโครงการ ซึ่งบริษัทและพันธมิตรยังมีความเห็นแตกต่างกัน เนื่องจากบริษัทต้องการพัฒนาโครงการแนวราบ แต่พันธมิตรต้องการพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียม ทำให้ต้องใช้เวลาอีกระยะหนึ่งเพื่อสรุปแผนงาน อาจจะยังไม่ใช่ในปีนี้

ส่วนการลงทุนในพม่า ปัจจุบันอยู่ระหว่างการเจรจากับพันธมิตรท้องถิ่น หลังจากได้ทำการศึกษาตลาด แต่การลงทุนในพม่ายังมีเรื่องของค่าที่ดินที่มีราคาสูง และกฏระเบียบต่างๆ ทำให้การตัดสินใจล่าช้า

ขณะที่ประเทศอื่นๆในกลุ่ม CLMV ก็ยังเป็นอีกโอกาสที่จะเข้าไปลงทุน เพื่อสร้างการเติบโตให้กับบริษัทในอนาคต หลังจากที่บริษัทมีการลงทุนในประเทศออสเตรเลีย โดยปัจจุบันมีทั้งหมด 7 โครงการใน 3 เมือง ได้แก่ เมลเบิร์น จีลอง และบริสเบน รวมทั้งมีการลงทุนอาคารสำนักงานในฟิลิปปินส์ก่อนหน้านี้ด้วย

"ความชัดเจนของการลงทุนทั้ง 2 ประเทศใหม่นั้นในปีนี้อาจจะยัง ส่วนปีหน้าก็ยังไม่แน่นอน แต่ถ้าภายใน 5 ปีนี้ ถามว่าจะเห็นความชัดเจนของทั้ง 2 ประเทศไหม ก็ต้องมีแน่นอน และที่เรามีการขยายการลงทุนในต่างประเทศก็เพื่อเสริมศักยภาพการเติบโตให้กับบริษัท ลดความเสี่ยงของภาวะเศรษฐกิจในแต่ละประเทศ และเพิ่มกำไรส่วนของผู้ถือหุ้นให้มากขึ้น"นายประทีป กล่าว

สำหรับกรณีที่บริษัทยื่นซองประมูลพัฒนาโครงการบ้านธนารักษ์ประชารัฐในวันที่ 30 มิ.ย.59 นั้น บริษัทได้ยื่นเสนอทำโครงการอสังหาริมทรัพย์ทั้งหมด 3 ทำเล ได้แก่ ในกรุงเทพฯ คือย่านสะพานควายและโรงกษาปเก่า โดยรูปแบบการพัฒนาออกเป็น 2 รูปแบบ คือ อาคารพักอาศัยสูง 5 ชั้น 5 อาคาร พื้นที่รวม 10,000 ตารางเมตร และอาคารพักอาศัยสูง 8 ชั้น 1 อาคาร พื้นที่รวม 10,000 ตารางเมตร และทำเลในจังหวัดเชียงใหม่ บนถนนช้างคลาน ซึ่งจะพัฒนาเป็นทาวน์เฮาส์ จำนวน 100 ยูนิต มูลค่าแต่ละโครงการที่บริษัทจะพัฒนาอยู่ที่ 200-300 ล้านบาท/โครงการ

นายประทีป กล่าวว่า การที่บริษัทตัดสินใจยื่นซองเสนอโครงการดังกล่าวไปนั้น เพราะมีความประสงค์ให้ผู้ที่มีรายได้มีที่อยู่อาศัย และสนับสนันนโยบายของภาครัฐ ซึ่งถือว่าเป็นการทำ CSR รูปแบบหนึ่ง จึงไม่หวังกำไรจากการพัฒนาโครงการนี้ เงินลงทุนที่ใช้ทำโครงการจะเป็นเงินที่มาจากกระแสเงินสดของบริษัท ไม่ได้มีการกู้ยืม เนื่องจากมูลค่าโครงการไม่สูงมาก แต่อย่างไรก็ตาม บริษัทจะต้องรอดูการประกาศผลว่าจะได้รับการคัดเลือกหรือไม่ ซึ่งก็ไม่ได้คาดหวังมากนัก

นายไตรเตชะ ตั้งมติธรรม กรรมการผู้จัดการ บมจ.ศุภาลัย (SPALI) กล่าวว่า ยอดขายของบริษัทในครึ่งแรกของปี 59 ทำได้ 1 หมื่นล้านบาท หรือเติบโต 20% จากครึ่งปีแรกของปีก่อน มาจากยอดขายของโครงการแนวราบที่เติบโตมากกว่า 100% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยบริษัทเปิดโครงการแนวราบมากถึง 8 โครงการ มูลค่าโครงการรวม 8.5 พันล้านบาท ส่วนคอนโดมิเนียมทำยอดขายในครึ่งปีแรกได้ 3.5 พันล้านบาท มีโครงการใหม่เปิดตัว 2 โครงการ มูลค่ารวม 3.6 พันล้านบาท

บริษัทยังมั่นใจว่ายอดขายในปีนี้จะเป็นไปตามเป้าหมาย 2.4 หมื่นล้านบาท เนื่องจากครึ่งปีหลังจะมีการเปิดโครงการคอนโดมิเนียมอีก 4 โครงการ โดยในปลายเดือน ก.ค.นี้จะเปิดพรีเซลโครงการ"ศุภาลัย ปาร์ค รัชวิภา"มูลค่าโครงการ 3.2 พันล้านบาท และ"ศุภาลัย ซิตี้ รีสอร์ท พระราม 8"มูลค่าโครงการ 1.2 พันล้านบาท กำหนดเปิดจองในวันที่ 29-31 ก.ค. คาดหวังยอดจอง 3 วันแรกโครงการละ 1 พันล้านบาท

นอกจากนี้ในช่วงไตรมาส 4/59 บริษัทยังมีการเปิดโครงการคอนโดมิเนียมขนาดใหญ่ในเมืองติดรถไฟฟ้าอีก 2 โครงการ ราคาขายเฉลี่ย 100,000 บาท/ตารางเมตร ซึ่งจะเป็นปัจจัยช่วยผลักดันยอดขายในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปีนี้

ขณะที่โครงการแนวราบยังจะมีการเปิดโครงการใหม่อีก 10-11 โครงการ มูลค่าโครงการรวม 9.5 พันล้านบาท

สำหรับรายได้ในไตรมาส 2/59 คาดว่าจะเป็นไตรมาสที่ดีที่สุดของปีนี้ เนื่องจากในช่วงเดือน เม.ย.เป็นเดือนสุดท้ายของมาตรการลดหย่อนค่าธรรมเนียมการโอนและการจดจำนอง ทำให้ยอดโอนในช่วงเม.ย.เพียงเดือนเดียวทำได้มากถึง 5 พันล้านบาท ส่งผลให้รายได้ไนไตรมาส 2/59 จะเป็นไตรมาสที่ดีที่สุดของปีนี้

ทั้งนี้ บริษัทยังมั่นใจว่ารายได้ในปีนี้เป็นไปตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ 2.4 หมื่นล้านบาท โดยในช่วงครึ่งปีหลังจะยังมีมูลค่ายอดขายรอโอน (Backlog) อยู่ที่ 6-7 พันล้านบาท จาก Backlog ทั้งหมดในปัจจุบันที่ 3.5 หมื่นล้านบาท ส่วน Backlog ที่เหลือจะทยอยโอนไปถึงปี 62

ด้านแนวโน้มตลาดอสังหาริมทรัพย์ไนครึ่งปีหลังคาดว่าจะมีความคึกคักมากขึ้นจากการที่ผู้ประกอบการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่เริ่มมีการเปิดโครงการใหม่มากขึ้นกว่าครึ่งแรก โดยเฉพาะการเปิดโครงการคอนโดมิเนียมที่จะเพิ่มขึ้นอย่างมาก ซึ่งถือเป็นการกระตุ้นตลาดให้มีความน่าสนใจ แม้ว่าความต้องการซื้อที่อยู่อาศัยอาจจะยังทรงตัว แต่ในแง่กำลังซื้อของผู้ที่อยากจะซื้ออสังหาฯยังคงมีอยู่พอสมควร ซึ่งไม่ใช่ปัจจัยที่น่ากังวล เนื่องจากดอกเบี้ยในการกู้ยืมในช่วงยังอยู่ไนระดับต่ำ ส่งผลให้มีความน่าสนใจที่ลูกค้าจะตัดสินไจซื้อได้ง่ายขึ้น

สำหรับอัตราการปฏิเสธส์นเชื่อของลูกค้าที่ซื้อโครงการของบริษัทในครึ่งปีแรกปรับลดลงมาอยู่ที่ 5.7% จากปีก่อนที่ 6.5% เนื่องจากลูกค้ามีการเตรียมตัวก่อนการยื่นขอสินเชื่อมากขึ้น ทำให้ลูกค้าส่วนใหญ่ไม่เจอปัญหาในการที่ธนาคารจะขอเอกสารหรือขอรายละเอียดต่างๆ ประกอบการอนุมัติสินเชื่อ แม้ว่าในปัจจุบันภาระหนี้ครัวเรือนจะอยู่ในระดับสูงก็ตาม

ขณะที่ราคาที่อยู่อาศัยของตลาดในปีนี้มีการปรับขึ้น 2-3% ซึ่งส่วนใหญ่มาจากการปรับขึ้นของราคาที่ดินที่เฉลี่ยปีนี้ปรับตัวขึ้นมา 7-8% แม้ว่าจะชะลอลงจากปีก่อนที่ปรับขึ้น 10-11% เนื่องจากในปีนี้การเก็งราคาที่ดินจากแผนการพัฒนาโครงการรถไฟฟ้าสายต่างๆ เริ่มลดลงไปบ้าง โดยช่วงที่ผ่านมาบริษัทได้ใช้งบซื้อที่ดินไปไม่ถึง 50% ของงบทั้งปี 8 พันล้านบาท คาดว่าจะทยอยใช้ให้ครบไนครึ่งปีหลัง เน้นการซื้อที่ดินไนกรุงเทพฯและแนวรถไฟฟ้ามากขึ้น ส่วนที่ดินในต่างจังหวัดอาจจะไม่เน้นมากนัก เพราะมีในมืออยู่พอสมควร

ส่วนต้นทุนก่อสร้างในปีนี้มีการปรับตัวลดลง 2% เรื่องจากค่าวัสดุก่อสร้างถูกลง และไม่มีปัญหาเรื่องการขาดแคลนแรงงานเกิดขึ้น


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ