ทริสเรทติ้ง ยืนยันอันดับเครดิตองค์กรและหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันของบริษัท ทรู มูฟ เอช ยูนิเวอร์แซล คอมมิวนิเคชั่น จำกัด ที่ระดับ “BBB+" ด้วยแนวโน้ม “Stable" หรือ “คงที่"
อันดับเครดิตสะท้อนถึงสถานะของบริษัทที่เป็นผู้ให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ในลำดับที่ 3 ของประเทศ อันดับเครดิตยังสะท้อนถึงการที่บริษัทเป็นหนึ่งในกลุ่มธุรกิจหลักภายใต้กลุ่ม บมจ.ทรู คอร์ปอเรชั่น (TRUE) (ได้รับอันดับเครดิต “BBB+/Stable") ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากกลุ่ม TRUE ทั้งในด้านการดำเนินงานและความช่วยเหลือทางด้านการเงิน
อย่างไรก็ตาม จุดแข็งดังกล่าวถูกลดทอนลงจากการแข่งขันที่รุนแรงในธุรกิจการให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่และฐานะการเงินที่อ่อนตัวลงจากการประมูลใบอนุญาตคลื่นความถี่ในราคาสูงและการลงทุนจำนวนมากเพื่อขยายโครงข่าย 4G ทั่วประเทศ
แนวโน้มอันดับเครดิต “Stable" หรือ “คงที่" สะท้อนถึงความคาดหมายว่าบริษัทจะยังคงรักษาสถานะการเป็นผู้นำในการให้บริการด้านข้อมูลเอาไว้ได้และมีผลการดำเนินงานที่ดีขึ้นท่ามกลางการแข่งขันที่รุนแรง อีกทั้งจะยังคงสถานะการเป็นธุรกิจหลักของ TRUE ต่อไป การเปลี่ยนแปลงใดใดที่จะเกิดกับอันดับเครดิตของบริษัททรู คอร์ปอเรชั่นจะส่งผลต่ออันดับเครดิตของบริษัทตามไปด้วย
ทั้งนี้ โอกาสในการปรับเพิ่มอันดับเครดิตของบริษัทในระยะเวลาอันใกล้นี้ค่อนข้างมีจำกัด แต่อาจเกิดขึ้นได้หากบริษัทสามารถเพิ่มส่วนแบ่งทางการตลาดได้อย่างมีนัยสำคัญและมีความสามารถในการทำกำไรที่ดีขึ้นโดยไม่ทำให้ฐานะการเงินของบริษัทแย่ลง ความเสี่ยงที่บริษัทจะถูกปรับลดอันดับเครดิตจะเกิดขึ้นได้หากบริษัทไม่สามารถสร้างรายได้จากการลงทุนซึ่งจะทำให้ผลการดำเนินงานของบริษัทอ่อนตัวลงจากที่ทริสเรทติ้งคาดการณ์เอาไว้อย่างมาก หรือหากอัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนของบริษัทอยู่ในระดับสูงกว่า 65% อย่างต่อเนื่อง
ความไม่แน่นอนเกี่ยวกับข้อพิพาทด้านกฎหมายต่าง ๆ ที่มีมาในอดีต เช่น ค่าธรรมเนียมเพื่อใช้โครงข่าย (Access Charge) หรือการประเมินภาษีสรรพสามิต และอื่น ๆ ยังคงดำรงอยู่และจะยังไม่มีผลสิ้นสุดในเร็ววันนี้ โอกาสที่จะเห็นผลสิ้นสุดทางกฎหมายของข้อพิพาทที่ออกมาในทางลบในระยะอันใกล้นี้ยังไม่ชัดเจน อย่างไรก็ตาม อันดับเครดิตของบริษัทอาจถูกปรับลดลงหากผลทางกฎหมายส่งผลกระทบต่อสถานะทางการเงินของบริษัทอย่างมีนัยสำคัญ
บริษัท ทรู มูฟ เอช ยูนิเวอร์แซล คอมมิวนิเคชั่น ก่อตั้งในปี 2553 โดยมี TRUE เป็นผู้ถือหุ้นทั้งหมด ซึ่ง TRUE ประกอบธุรกิจโทรคมนาคมแบบผสมผสานโดยให้บริการโทรศัพท์พื้นฐาน อินเทอร์เน็ตความเร็วสูง (Broadband) โทรศัพท์เคลื่อนที่ และโทรทัศน์ระบบบอกรับสมาชิก อันดับเครดิตสะท้อนถึงสถานะของบริษัทที่เป็นผู้ให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ในลำดับที่ 3 ของประเทศและเป็นผู้ให้บริการผ่านโครงข่ายโทรศัพท์ 3G และ 4G LTE (Long Term Evolution) เป็นรายแรกเมื่อปี 2554
และเมื่อปี 2556 บริษัทให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่บนคลื่นความถี่ 850 เมกะเฮิร์ทซ์ (Megahertz--MHz) ภายใต้สัญญาขายส่งบริการโทรศัพท์เคลื่อนที่กับ บริษัท กสท โทรคมนาคม จำกัด (มหาชน) (กสท.) และให้บริการบนคลื่นความถี่ภายใต้ใบอนุญาตจากคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ซึ่งรวมถึงคลื่น 2.1 กิกกะเฮิร์ทซ์ เพื่อรองรับความต้องการบริการด้านข้อมูลที่เติบโตอย่างรวดเร็ว บริษัทได้ประมูลคลื่น 1800 เมกะเฮิร์ทซ์ภายใต้ใบอนุญาต 18 ปีและคลื่น 900 เมกะเฮิร์ทซ์ภายใต้ใบอนุญาต 15 ปี เนื่องจากบริษัทมีจำนวนคลื่นความถี่สำหรับให้บริการมากที่สุด ทำให้บริษัทมีความได้เปรียบในการบริหารจัดการคลื่นความถี่ทั้งหมดเพื่อตอบสนองความต้องการบริการด้านข้อมูลที่เติบโตอย่างรวดเร็ว
ในช่วงไตรมาสแรกของปี 2559 บริษัทมีลูกค้าทั้งสิ้นจำนวน 20.4 ล้านราย คิดเป็นส่วนแบ่งทางการตลาดประมาณ 24% ของจำนวนลูกค้าทั้งหมด ทั้งนี้ ฐานะทางธุรกิจของบริษัทขึ้นอยู่กับความสามารถในการเพิ่มจำนวนผู้ใช้บริการและกระแสเงินสดจากการดำเนินงานเป็นสำคัญ
อันดับเครดิตของบริษัทมีความเชื่อมโยงกับอันดับเครดิตของ TRUE เป็นอย่างมากเมื่อพิจารณาถึงความสำคัญในเชิงกลยุทธ์และสัดส่วนผลการดำเนินงานของบริษัทที่มีต่อกลุ่ม TRUE กล่าวคือ บริษัทสร้างรายได้ในปี 2558 คิดเป็นสัดส่วน 69% ของรายได้รวมของ TRUE และสร้างกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) คิดเป็นสัดส่วน 45% ของ EBITDA รวมของ TRUE นอกจากนี้ TRUE ยังเข้ามามีส่วนเกี่ยวข้องอย่างเต็มที่ในการดำเนินงานของบริษัททั้งในเรื่องการแต่งตั้งกรรมการและผู้บริหารระดับสูง ตลอดจนการให้ความช่วยเหลือทางด้านการเงินในรูปแบบการเพิ่มทุนมูลค่ารวมประมาณ 8.5 หมื่นล้านบาทในช่วงปี 2554-2557
การเพิ่มทุนครั้งล่าสุดของของ TRUE จำนวน 6 หมื่นล้านบาทในเดือนมิถุนายน 2559 จะนำมาใช้เพิ่มทุนให้แก่บริษัทเพื่อสนับสนุนการประมูลคลื่นความถี่ 1800 และ 900 เมกะเฮิร์ทซ์ที่ผ่านมา นอกจากนี้ ความแข็งแกร่งทางธุรกิจของบริษัทยังได้รับแรงหนุนจากการใช้ตราสัญลักษณ์ของกลุ่ม TRUE ซึ่งบริษัทให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ภายใต้ตราสัญลักษณ์ "True Move H" ด้วย
นอกจากนี้ ร้านค้าและสาขาของบริษัททรู คอร์ปอเรชั่นยังได้รวมการให้บริการต่างๆ ของกลุ่มบริษัททรู คอร์ปอเรชั่นเข้าไว้ด้วยกัน ซึ่งรวมถึง "TrueOnline" (บริการโทรศัพท์พื้นฐานและอินเทอร์เน็ตความเร็วสูง) และ "TrueVisions" (บริการโทรทัศน์ระบบบอกรับสมาชิก) อีกด้วย ทั้งนี้ ความช่วยเหลือจากบริษัททรู คอร์ปอเรชั่น ช่วยเพิ่มความสามารถในการแข่งขันให้แก่บริษัทและเป็นปัจจัยบวกต่ออันดับเครดิตของบริษัท
ในระยะ 5 ปีที่ผ่านมา รายได้ของบริษัทจากการให้บริการซึ่งไม่รวมค่าเชื่อมต่อโครงข่ายโทรคมนาคม (Interconnection Charge -- IC) เติบโตในอัตราที่ดีกว่าอุตสาหกรรมโดยมีปัจจัยสนับสนุนจากการความต้องการบริการด้านข้อมูลที่เพิ่มขึ้นมาก บริษัทมีรายได้บริการซึ่งไม่รวมค่า IC เติบโตเฉลี่ย 14% ต่อปี เทียบกับค่าเฉลี่ยของอุตสาหกรรมที่อัตรา 7% ต่อปี ณ สิ้นเดือนมีนาคม 2559 บริษัทมีส่วนแบ่งทางการตลาดประมาณ 22% ของรายได้รวมจากการให้บริการของอุตสาหกรรมโทรศัพท์เคลื่อนที่ของไทย บริษัทมุ่งเน้นการขยายโครงข่ายสำหรับการใช้บริการโทรศัพท์ 4G ทั่วประเทศ ซึ่งเป็นกลยุทธ์ที่สำคัญที่สุดในการดึงดูดผู้ใช้บริการ โดยบริษัทตั้งเป้าที่จะมีส่วนแบ่งทางการตลาดประมาณ 33% ของรายได้รวมจากการให้บริการภายในสิ้นปี 2560
อย่างไรก็ตาม การเติบโตทางธุรกิจของบริษัทมีความเสี่ยงจากการแข่งขันที่รุนแรง ในสถานการณ์ที่ภาวะตลาดใกล้ถึงจุดอิ่มตัวและมีความอ่อนไหวในด้านราคา ผู้ประกอบการจะใช้การแข่งขันด้านราคาและการตลาดที่รุนแรงขึ้นเพื่อดึงดูดผู้ใช้บริการและรักษาส่วนแบ่งทางการตลาดของตนเอาไว้ ทั้งนี้ ความรุนแรงของการแข่งขันจะเป็นปัจจัยกดดันความสามารถในการทำกำไรและเป็นข้อจำกัดต่อคุณภาพเครดิตของบริษัทในอนาคต
ในขณะที่คลื่นความถี่ที่บริษัทประมูลมาได้จะช่วยเสริมสร้างโอกาสในการเติบโตให้แก่บริษัทและและให้ความมั่นใจว่าบริษัทจะมีคลื่นความถี่ที่เพียงพอสำหรับให้บริการในอีกหลายปีข้างหน้า แต่ต้นทุนค่าใบอนุญาตที่สูงก็ส่งผลในด้านลบต่อฐานะการเงินของบริษัทเช่นกันโดยจะทำให้ภาระหนี้ของบริษัทอยู่ในระดับสูงในระยะกลาง บริษัทประมูลใบอนุญาตคลื่นความถี่ในราคารวมประมาณ 1.16 แสนล้านบาท ซึ่งส่งผลให้ภาระหนี้ของบริษัท (รวมหนี้สินจากการเช่าดำเนินงานและค่าใบอนุญาตค้างจ่าย) เพิ่มขึ้นจากประมาณ 3.06 หมื่นล้านบาท ณ สิ้นปี 2557 เป็น 1.74 แสนล้านบาท ณ สิ้นเดือนมีนาคม 2559
นอกจากนี้ บริษัทยังมีแผนจะลงทุนขยายโครงข่ายโดยรวมอีกประมาณ 5.16 หมื่นล้านบาทจนถึงปี 2564 ด้วย ทั้งนี้ TRUE ได้ดำเนินการเพิ่มทุนจำนวน 6 หมื่น ล้านบาทซึ่งทั้งหมดจะนำมาเพิ่มทุนให้แก่บริษัท โดยบริษัทจะนำเงินดังกล่าวไปใช้คืนหนี้เงินกู้ประมาณ 4 หมื่นล้านบาทและส่วนที่เหลือจะใช้สำหรับการขยายโครงข่ายต่อไป
ภายใต้สมมติฐานของทริสเรทติ้ง คาดว่ารายได้ของบริษัทจะอยู่ในระดับ 9.4-10.7 หมื่นล้านบาทต่อปี ในช่วงปี 2559-2561 โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากการเติบโตของรายได้จากการให้บริการโดยเฉลี่ยที่ 10%-20% ต่อปี ความสามารถในการทำกำไรของบริษัทต่ำกว่าของคู่แข่งโดยเปรียบเทียบและคาดว่าจะได้รับแรงกดดันจากการแข่งขันที่รุนแรง อัตราส่วนกำไรของบริษัท (อัตราส่วนกำไรจากการดำเนินงานก่อนค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายต่อรายได้) คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 12%-18% ต่อปี โดยบริษัทจะมีเงินทุนจากการดำเนินงานที่ระดับ 8-10.7 พันล้านบาทต่อปี ในปี 2559-2561 และมีอัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อเงินกู้รวมที่ระดับ 7%-17% ในช่วงปี 2559-2561
บริษัทจะเผชิญกับแรงกดดันด้านสภาพคล่องในระยะ 12 เดือนข้างหน้า โดยบริษัทจะมีสภาพคล่องจะมาจากเงินทุนจากการดำเนินงานที่ระดับไม่น้อยกว่า 8 พันล้านบาท รวมทั้งเงินจากการเพิ่มทุน 6 หมื่นล้านบาท และเงินสดและเทียบเท่าเงินสดประมาณ 8 พันล้านบาท ณ สิ้นเดือนมีนาคม 2559 ในขณะที่บริษัทมีหนี้สินที่จะครบกำหนดชำระรวมประมาณ 5.5 หมื่นล้านบาทและจะมีค่าใช้จ่ายฝ่ายทุนอีกประมาณ 2.3 หมื่นล้านบาท ทั้งนี้ คาดว่าบริษัทอาจต้องมีการก่อหนี้เพิ่มเติมเพื่อเพิ่มสภาพคล่อง ในส่วนของโครงสร้างเงินทุนของบริษัทนั้นคาดว่าจะปรับตัวดีขึ้นหลังการเพิ่มทุนจากบริษัททรู คอร์ปอเรชั่น ซึ่งจะส่งผลให้อัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนของบริษัทลดลงจากระดับ 79.1% ณ สิ้นเดือนมีนาคม 2559 มาอยู่ที่ 53%-56% ในปี 2559-2561