นายวิวัฒน์ เตชะพูลผล รองกรรมการผู้จัดการและหัวหน้าฝ่ายวิเคราะห์ทางเทคนิค บล. ทิสโก้ กล่าวสรุปภาพรวมตลาดหุ้นไทยว่า กรณีอังกฤษแยกตัวออกจากสหภาพยุโรป (Brexit) ทำให้ตลาดไทยกลับมาคึกคักอีกครั้ง โดยในครึ่งแรกของปี 59 มีการซื้อสุทธิ 36,510 ล้านบาท จากเดิมปี 56-58 ที่ขายสุทธิ -384,850 บาท มองในช่วงครึ่งปีหลัง SET Index อาจปรับขึ้นไปได้ถึง 1,530-1,580 จุด จาก Fund Flow ไหลเข้าอีกในระดับ 30,000-60,000 ล้านบาท โดยต้องจับตาการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจและรอลุ้นผลการลงประชามติร่างรัฐธรรมนูญ ในวันที่ 7 สิงหาคม นี้
จึงแนะนำให้นักลงทุนเลือกลงทุนหุ้นรายตัว (Selective) และหลีกเลี่ยงหุ้นที่เกี่ยวกับพลังงาน เนื่องจากราคาน้ำมันจะกลับมาเป็นขาลง โดยอาจร่วงไปได้ถึง 40-42 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อบาร์เรล
ด้านนายคมศร ประกอบผล หัวหน้าฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจและกลยุทธ์ ทิสโก้ กล่าวว่า แม้ Brexit จะจบไปแต่ปัญหาทางการเมืองในยุโรปยังคงอยู่ เรามองว่าผลโหวต Brexit เป็นเพียงส่วนหนึ่งของปัญหาการเมืองในยุโรปที่ฝังรากลึก ซึ่งความไม่พอใจของประชาชนที่สั่งสมมานานจากเศรษฐกิจตกต่ำต่อเนื่องหลายปี ได้ถูกสะท้อนผ่านผลการเลือกตั้ง ซึ่งมีแนวโน้มต่อต้านพรรคการเมืองกระแสหลัก ซึ่งประชาชนส่วนหนึ่งเห็นว่าเป็นต้นเหตุของปัญหาเศรษฐกิจ และหันไปให้การสนับสนุนพรรคการเมืองเกิดใหม่ ซึ่งมีนโยบายสุดโต่ง เช่น การต่อต้านการรัดเข็มขัด (เช่น พรรค Syriza ในกรีซ พรรค Podemos ในสเปน และพรรค Five Star Movement ในอิตาลี) รวมไปถึงความพยายามแยกตัวเป็นเอกราชของท้องถิ่นเพื่อแยกตัวออกจากประเทศที่มีเศรษฐกิจตกต่ำ (เช่น แคว้นคาตาลันในสเปน และเวนิสในอิตาลี เป็นต้น)
โดยความเสี่ยงในระยะสั้นที่ต้องจับตามองได้แก่ 1) การเจรจาต่อรองสิทธิประโยชน์ทางการค้าและภาษีภายหลังจากอังกฤษออกจากสหภาพยุโรป (EU) 2) การจัดตั้งรัฐบาลในสเปนที่ล่าช้า เนื่องจากคะแนนความนิยมของพรรคเล็กที่เพิ่มขึ้นทำให้การจัดตั้งรัฐบาลผสมล้มเหลว และประเทศอยู่ในภาวะสุญญากาศทางการเมืองมาเป็นเวลากว่า 6 เดือนมาแล้ว และ 3) การลงประชามติของอิตาลีในเดือน ต.ค. ซึ่งหากประชามติไม่ผ่านความเห็นชอบจากประชาชน อิตาลีอาจต้องจัดการเลือกตั้งภายในปีนี้ และอาจนำไปสู่การจัดตั้งรัฐบาลใหม่ที่มีนโยบายต่อต้านยุโรป นอกจากนั้นความขัดแย้งระหว่างรัฐบาลอิตาลี และ EU อาจทำให้การแก้ไขปัญหาในภาคธนาคารล่าช้าซึ่งอาจเป็นอุปสรรคต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในอนาคตอีกด้วย
"เรามองพื้นฐานเศรษฐกิจยุโรปจะถูกกดดันจากความเสี่ยงทางการเมือง ซึ่งเป็นอุปสรรคต่อการผลักดันนโยบายปฏิรูปเศรษฐกิจและการแก้ไขปัญหาในภาคธนาคาร จะส่งผลกระทบต่อศักยภาพการเติบโตทางเศรษฐกิจและความเชื่อมั่นของนักลงทุนในระยะยาว เราจึงแนะนำให้นักลงทุนลดน้ำหนักการลงทุนในยุโรป และหันไปเพิ่มน้ำหนักการลงทุนในสินทรัพย์ประเภท REITs ในสหรัฐฯ และญี่ปุ่น (US REITs และ J-REITs) ซึ่งจะได้รับประโยชน์จากแนวโน้มการผ่อนคลายนโยบายการเงินของธนาคารกลางทั่วโลก รวมทั้งเพิ่มน้ำหนักการลงทุนในตลาดหุ้นเอเชีย เช่น ตลาดหุ้นอินเดีย ซึ่งเศรษฐกิจพึ่งการเติบโตในประเทศเป็นหลัก และญี่ปุ่น ซึ่งจะได้รับผลบวกจากการกระตุ้นเศรษฐกิจระลอกใหม่จากทั้งนโยบายการคลัง และนโยบายการเงินที่น่าจะทยอยออกมาเร็วๆ นี้"นายคมศร กล่าว
นายสาห์รัช ชัฎสุวรรณ ผู้อำนวยการสายการตลาด บลจ. ทิสโก้ แนะนำให้นักลงทุนเพิ่มน้ำหนักการลงทุนในกองทุนที่ลงทุนในตลาดหุ้นเอเชียและญี่ปุ่นรับกระแส Fund Flow ไหลเข้า หลังจากยุโรปมีความไม่แน่นอนสืบเนื่องจาก Brexit ทำให้เอเชียรวมทั้งญี่ปุ่นมีความโดดเด่น จากปัจจัยเศรษฐกิจที่เติบโตแข็งแกร่ง นโยบายการเงินมีแนวโน้มผ่อนคลายมากขึ้น และนักลงทุนต่างชาติที่ยังให้น้ำหนักการลงทุนไม่สูง โดยเน้นการลงทุนไปที่ตลาดหุ้นญี่ปุ่น อินเดีย จีน ผ่านกองทุนเปิด ทิสโก้ เจแปน อิควิตี้ (TISCOJP) ที่ลงทุนในบริษัทขนาดใหญ่ของญี่ปุ่น 225 บริษัท อ้างอิงดัชนี Nikkei 225 กองทุนเปิด ทิสโก้ อินเดีย อิควิตี้ (TISCOIN) ที่เน้นลงทุนในตลาดหุ้นอินเดีย และ กองทุนเปิด ทิสโก้ ไชน่า H-Shares อิควิตี้ (TISCOCH) ที่เน้นลงทุนในตลาดหุ้นจีน
“สำหรับทางเลือกในการลงทุนอื่นนอกเหนือจากการลงทุนในหุ้น การลงทุนใน REITs ก็มีความน่าสนใจ โดยเฉพาะในยุคดอกเบี้ยต่ำ โดย REITs ยังคงจ่ายปันผลในระดับที่ดีและสม่ำเสมอ บลจ.ทิสโก้เชื่อว่าจะมีเม็ดเงินไหลเข้าลงทุนใน REITs สหรัฐฯ และ ญี่ปุ่น อย่างต่อเนื่อง จากอัตราการจ่ายเงินปันผลยังคงถือว่าอยู่ในระดับสูงเมื่อเทียบกับอัตราผลตอบแทนจากพันธบัตรที่มีแนวโน้มจะต่ำลงเรื่อยๆ และติดลบเช่นพันธบัตรญี่ปุ่น นักลงทุนที่สนใจสามารถลงทุนผ่านกองทุนเปิด ทิสโก้ เจแปน รีท (TJREIT) และ กองทุนเปิด ทิสโก้ ยูเอส รีท (TUSREIT) ได้" นายสาห์รัช กล่าว
สำหรับผู้ที่รับความเสี่ยงไม่ได้มาก แต่ต้องการผลตอบแทนที่สม่ำเสมอและดีกว่าเงินฝาก เราแนะนำกองทุนเปิด ทิสโก้ อินคัม พลัส (TINCOME) ซึ่งเป็นกองทุนที่จัดสรรการลงทุนลงในหลายสินทรัพย์ โดยเน้นลงทุนในตราสารหนี้ไทยประมาณ 50% ลงทุนในกองทุนอสังหาริมทรัพย์ REITs และกองทุนโครงสร้างพื้นฐานประมาณ 25% และลงทุนในหุ้นไทยประมาณ 25% เพื่อสร้างกระแสเงินสดจากดอกเบี้ยและเงินปันผล โดยบริษัทจัดการจะพิจารณารับซื้อคืนหน่วยลงทุนโดยอัตโนมัติให้แก่ผู้ถือหน่วยลงทุนเป็นรายไตรมาส หรือขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของบริษัทจัดการ ตามที่บริษัทจัดการพิจารณาเห็นสมควร
สุดท้ายการลงทุนในตลาดหุ้นไทย สำหรับนักลงทุนที่ไม่มีเวลาคัดเลือกหุ้นด้วยตนเอง บลจ.ทิสโก้ขอแนะนำ กองทุนเปิด ทิสโก้ Mid/Small Cap อิควิตี้ (TISCOMS) ที่มีนโยบายลงทุนในหุ้นกลุ่มขนาดกลางและเล็ก โดยบลจ.จะคัดเลือกโดยพิจารณาจากปัจจัยพื้นฐานของหุ้นนั้นๆ เป็นรายตัว เน้นลงทุนในบริษัทที่มีขนาดไม่ใหญ่มากแต่มีการเติบโตสูง ทั้งนี้ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน และเนื่องจากกองทุนที่ลงทุนในต่างประเทศไม่ได้ป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนทั้งจำนวนผู้ลงทุนอาจขาดทุนหรือได้รับกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนหรือได้รับเงินคืนต่ำกว่าเงินลงทุนเริ่มแรกได้