นายวิวัฒน์ เลาหพูนรังษี กรรมการบริหาร บมจ.อารียา พรอพเพอร์ตี้ (A) มั่นใจยอดขายในปีนี้ทำได้ตามเป้าหมายที่ 1 หมื่นล้านบาท หลังครึ่งปีแรกของปีนี้บริษัททำยอดขายได้ 3-4 พันล้านบาท เนื่องจากในครึ่งปีแรกของปีนี้บริษัทเปิดโครงการใหม่ไม่มาก ซึ่งมีการเปิดโครงการแนวราบไปทั้งหมด 5 โครงการ โดยเป็นโครงการที่เป็นเฟสต่อขยาย มูลค่าโครงการรวมกว่า 3 พันล้านบาท
ส่วนในครึ่งปีหลังบริษัทจะมีการเปิดโครงการใหม่เพิ่มขึ้นอีก 6 โครงการ มูลค่ารวม 5.6 พันล้านบาท ส่วนใหญ่เป็นโครงการแนวราบ 5 โครงการ มูลค่าโครงการรวม 4.3 พันล้านบาท ภายใต้ 5 แบรนด์ คือ โครงการ The color โครงการ The color premium โครงการ The Villaโครงการ Areeya Como และโครงการ The Ava อีกทั้งยังมีการเปิดโครงคอนโดมิเนียมหรูในซอยสุขุมวิท 53 อีก 1 โครงการ มูลค่า 1.3 พันล้านบาท ราคาขายราว 200,000 บาท/ตารางเมตร โดยจะมีการเปิดจองในไตรมาส 4/59 ทั้งนี้การเปิดโครงการใหม่ในช่วงครึ่งปีหลังมากขึ้นจะเป็นปัจจัยที่ทำให้ยอดขายของบริษัทเป็นไปตามเป้าหมาย
สำหรับการพัฒนาโครงการใหม่ที่จะเปิดตัวตั้งแต่ในช่วงไตรมาส 4/59 เป็นต้นไปนั้น บริษัทจะเน้นการพัฒนาตามนโยบาย "รักษ์โลก รักเรา"ภายใต้แนวคิด "ความสุขยั่งยืน" ด้วยการนำเทคโนโลยีมาใช้ 2 ด้าน คือ ด้านการออกแบบโครงการ และด้านการบริหารชุน ซึ่งมี 5 สิ่งที่บริษัทจะเสริมเข้าไปในการพัฒนาโครงการ ได้แก่ 1.การใช้วัสดุที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และการนำน้ำที่ไช้แล้วมารีไซเคิลใหม่เพื่อใช้รดน้ำต้นไม้ในส่วนกลาง 2.การใช้แผงโซลาร์เซลล์ในส่วนกลาง เพื่อช่วยลดค่าใช้จ่ายไฟฟ้าของส่วนกลาง 3.การนำพื้นที่ส่วนกลางมาปลูกไม้ยืนต้น และออกแบบพื้นที่ของบ้านพักอาศัยให้สามารถปลูกพืชผักได้ รวมถึงการอบรมสอนการปลูกผักแบบออแกนิค 4.การคัดแยกและการกำจัดขยะอย่างถูกวิธี 5.การออกแบบลู่จ็อกกิ้งในบริเวณส่วนกลาง เพื่อเสริมสร้างให้ผู้พักอาศัยมีสุขภาพที่แข็งแรง
ทั้งนี้ การที่บริษัทนำ 5 แนวทางมาใช้ในการพัฒนาโครงการตั้งแต่ไตรมาส 4/59 เป็นต้นไป บริษัทจะยังคงราคาขายที่อยู่อาศัยและราคาส่วนกลางไว้เท่าเดิม แม้ว่าต้นทุนในการพัฒนาโครงการของบริษัทจะเพิ่มขึ้นราว 1%
ด้านรายได้ในครึ่งปีหลังบริษัทคาดว่าจะมีการโอนโครงการที่รับรู้เป็นรายได้ราว 4 พันล้านบาท โดยส่วนใหญ่เป็นโครงการแนวราบทั้ง 5 โครงการที่เปิดขายและทยอยโอนในไตรมาส 3/59 เป็นต้นไป ซึ่งในปีนี้บริษัทยังมั่นใจว่ารายได้จะยังทำได้ตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ 7 พันล้านบาท หรือเติบโต 30% จากปีก่อน ซึ่งสัดส่วนรายได้ของบริษัทไนปัจจุบันมาจากโครงการแนวราบ 75% และอีก 25% เป็นสัดส่วนรายได้ที่มาจากโครงการคอนโดมิเนียม ทั้งนี้บริษัทยังคงเป้าหมายภายใน 3 ปีนี้ หรือภายในปี 61 จะมีรายได้แตะระดับ 1 หมื่นล้านบาท
ส่วนการยื่นประมูลก่อสร้างโครงการบ้านธนารักษ์ประชารัฐ บริษัทได้ยื่นไป 3 ทำเล คือ สะพานควาย ,พหลโยธิน 11 และเชียงใหม่ โดยแบบที่ยื่นไปบริษัทจะพัฒนาเป็นโครงการคอนโดมิเนียมทั้งหมด ซึ่งมีความคาดหวังว่าจะได้รับการคัดเลือกจากกรมธนารักษ์อย่างน้อย 1 ทำเล คาดว่าภายในสัปดาห์หน้ากรมธนารักษ์จะประกาศผลการคัดเลือกผู้พัฒนาโครงการดังกล่าว
อย่างไรก็บริษัทยอมรับว่าโครงการบ้านธนารักษ์ประชารัฐนั้นบริษัทไม่หวังกำไรจากโครงการนี้มากนัก เพราะโครงการดังกล่าวมีมาร์จิ้นเพียง 4-5% แต่การที่บริษัทยื่นประมูลไปเพราะต้องการที่จะช่วยเหลือผู้ที่มีรายได้น้อยที่เป็นข้าราชการให้มีที่อยู่อาศัย และเป็นการสนองนโยบายของรัฐบาลให้สามารถเดินหน้าไปได้ ประกอบกับบริษัทมีความเชี่ยวชาญในการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งจะเป็นประโยชน์ให้กับโครงการที่อยู่อาศัยของภาครัฐที่จะมีการบริหารจัดการที่มีคุณภาพที่ดีขึ้นได้มากกว่าเดิม