นายวิน อุดมรัชตวนิชย์ ประธานกรรมการบริหาร บล.เคทีบี (ประเทศไทย) (KTBST) เปิดเผยว่า ตลาดหุ้นไทยเปิดมาในสัปดาห์นี้ (20-22 ก.ค.) ที่จะมีการซื้อขายเพียง 3 วัน มองว่าตลาดยังน่าจะไปต่อได้สู่ระดับดัชนีที่ 1,500 จุดและเดินหน้าต่อเพื่อไปทดสอบดัชนีที่ 1,520 จุด ซึ่งการปรับขึ้นของต่อดัชนีดังกล่าวนี้ไม่ได้เป็นการปรับตัวไปตามปัจจัยพื้นฐานของตลาดที่แท้จริง แต่เป็นเพราะเงินทุนจากต่างประเทศที่ไหลเข้ามาในตลาดมากจึงดันให้ดัชนีปรับขึ้นไป ดังนั้น ตลาดอาจมีแรงขายทำกำไรออกมาได้
ตลาดหุ้นไทยในสัปดาห์นี้มีปัจจัยที่นักลงทุนต้องติดตามคือการประกาศตัวเลขการผลิตรถยนต์ในวันที่ 20 ก.ค.หากออกมาดีจะเป็นปัจจัยบวกต่อตลาดหุ้นให้ปรับตัวขึ้นต่อไปได้ เพราะหุ้นที่เกี่ยวกับชิ้นส่วนยานยนต์มีผลต่อดัชนีตลาด และยังเป็นตัวสะท้อนให้เห็นด้วยว่าเศรษฐกิจมีทิศทางที่ดีขึ้น ส่วนอีกปัจจัยที่ต้องติดตามคือการประชุมนโยบายการเงินของธนาคารกลางยุโรป(ECB)ในวันที่ 21 ก.ค.ว่าจะมีผลการประชุมออกมาอย่างไร รวมไปถึงปัจจัยเรื่องการคาดการณ์ตัวเลขผลประกอบการในไตรมาสที่ 2 ของบริษัทจดทะเบียนต่างๆ
ดังนั้น กลยุทธ์การลงทุนในสัปดาห์นี้จึงมองว่า เนื่องจากตลาดจะมีการซื้อขายเพียงแต่ 3 วันและการที่ดัชนีปรับตัวขึ้นมามากแล้ว ดังนั้นตลาดอาจจะไปต่อได้ไม่มาก บล.KTBST จึงแนะนำว่า หากดัชนีไม่สามารถผ่าน 1,500 จุดไปได้ ก็ให้หยุดรอดูสถานการณ์ (wait and see) และเข้าลงทุนต่อไปตามสถานการณ์ตลาด โดยหุ้นที่ บล.KTBST แนะนำคือ หุ้นกลุ่มขนาดกลาง ขนาดใหญ่ที่นักลงทุนต่างชาติเข้าลงทุน ได้แก่ PTT,BANPU,ADVANC,CPALL รวมไปถึงหุ้นกลุ่มที่มีการจ่ายเงินปันผลกลางปีและมีการจ่ายเงินปันสูง ได้แก่ INTUCH และหุ้นกลุ่มที่มีการคาดการณ์ผลประกอบการในไตรมาสที่ 2 ที่จะออกมาดีรวมทั้งมีข่าวดีเฉพาะตัวได้แก่ DCC,PLANB,TVT
นายชาตรี โรจนอาภา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายกลยุทธ์และพัฒนาผลิตภัณฑ์ เปิดเผยว่า ตลาดหุ้นเอเชีย ยุโรป และสหรัฐปรับตัวสูงขึ้น แม้ว่าธนาคารกลางอังกฤษจะคงดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ 0.5% ด้วยคะแนเสียง 8-1 และในขณะเดียวกันก็คงปริมาณการซื้อสินทรัพย์ ไว้ที่ 375,000 ล้านปอนด์ ผิดไปจากที่ตลาดและ KTBST คาดการณ์ไว้ โดยให้เหตุผลว่าเสถียรภาพตลาดการเงินของอังกฤษยังคงดีอยู่หลังจากการโหวต BREXI อย่างไรก็ดีธนาคารอังกฤษยังแสดงความกังวลต่อสัญญาณการชะลอตัวของความเชื่อมั่นการบริโภค การลงทุน และการจ้างงาน และคาดว่าตัวเลขชี้วัด ทางเศรษฐกิจจะชะลอตัวลงในอนาคตอันใกล้ด้วยเหตุนี้คณะกรรมการนโยบายการเงินส่วนใหญ่จึงมีความเห็นว่าควรมีการเพิ่มนโยบายผ่อนคลายทางการเงินในการประชุมครั้งต่อไปวันที่ 4 สิงหาคม โดยขนาดและวิธีของนโยบายผ่อนคลายจะขึ้นอยู่กับการคาดการณ์ตัวเลขเงินเฟ้อ และพัฒนาการของตลาดการเงินก่อนการประชุมครั้งต่อไป ซึ่งทำให้ตลาดการเงินไม่ได้ปั่นปวนมากนัก
ขณะเดียวกันสำนักงานสถิติแห่งชาติจีน (NBS) ได้เปิดเผยตัวผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ไตรมาส 2/2559 ว่าขยายตัวที่ 6.7% และ GDP ในช่วงครึ่งแรกของปี 2559 ขยายตัว 6.7% เช่นกัน ทำให้สถานการณ์ของตลาดหุ้นโลกน่าจะเดินหน้าไปได้ต่อรวมทั้งตลาดหุ้นไทย ส่วนธนาคารกลางเกาหลีใต้สินใจคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ 1.25% ต่อปี แต่ปรับลดประเมินอัตราการเติบโตเศรษฐกิจในปี 2016 ลงจากเดิม 2.8% เป็น 2.7% และอัตราเงินเฟ้อ จากเดิม 1.2% เป็น 1.1% การปรับลดการคาดการณ์ ที่มีผลมาจากความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจโลกหลังประชามติของสหราชอาณาจักรออกจาก EU ทั้งนี้ปัจจัยที่ต้องจับตามองต่อไปคือเรื่องการประชุมของธนาคารกลางญี่ปุ่นในวันที่ 29 ที่ตลาดคาดการณ์ว่าจะมีการลดดอกเบี่ยให้ติดลบเพิ่มขึ้นและการอัดฉีดเงินเข้าระบบ (QE) อีกเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติม รวมไปถึงการจับตาดูเรื่องหนี้ของยุโรปโดยเฉพาะอิตาลีที่มีตัวเลขหนี้ในระดับที่สูงและเรื่องของการก่อการร้ายในฝรั่งเศสด้วย
สำหรับคำแนะนำในการลงทุนในระยะสั้นตลาดหุ้นยังคงได้รับปัจจัยสนับสนุนจากเงินทุนที่ไหลเข้ามาเอเชียทั้งในตลาดตราสารหนี้และตลาดหุ้น ทำให้ตลาดหุ้นเอเชียรวมทั้งไทยยังคงไปได้ต่อในสัปดาห์หน้า ดังนั้นจึงยังแนะนำให้ลงทุนในหุ้นเอเชียโดยเฉพาะญี่ปุ่นและไทยและทยอยขายทำกำไรหุ้นยุโรปและทองคำเพราะว่ามองตลาดหุ้นที่ได้รับปัจจัยบวกจะส่งให้ทองคำได้รับความน่าสนใจน้อยลง สำหรับนักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้ต่ำ KTBST ยังคงแนะนำให้สะสมกองทุน รวมอสังหาริมทรัพย์และโครงสร้างพื้นฐานและหุ้นกู้เอกชนไทย ส่วนค่าเงินบาทมีทิศทางที่มีเสถียรภาพมากขึ้นเพราะเศรษฐกิจสหรัฐฯที่เริ่มมีทิศทางดีขึ้น