นายวรุตม์ ศิวะศริยานนท์ กรรมการผู้จัดการสายงานวิจัย บล.เอเชีย เวลท์ คาดว่า สัปดาห์นี้ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ (SET Index) จะค่อย ๆ ปรับตัวขึ้น และอาจมีการสลับกับการขายทำกำไร โดยคาดว่ากรอบดัชนี SET Index จะเคลื่อนไหว 1,498-1,518 จุด
โดยภาพรวมความกังวลเรื่อง Brexit เริ่มผ่อนคลายลง หลังจากสุดสัปดาห์ที่ผ่านมามีการประชุมรัฐมนตรีเศรษฐกิจ และการคลังของประเทศในกลุ่ม G20 ที่เมืองเฉินตู ประเทศจีน มีความเห็นร่วมกันที่แต่ละประเทศจะเตรียมมาตรการรองรับปัญหาที่อาจจะเกิดขึ้นจาก Brexit ที่จะทำให้เศรษฐกิจโลกอาจชะลอตัวลงอีก ซึ่งตลาดรับข่าวนี้อย่างเป็นบวก
อีกทั้งตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ ในช่วงที่ผ่านมาแข็งแกร่ง แม้ในการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐ (FOMC) ในสัปดาห์นี้คาดว่าจะยังคงอัตราดอกเบี้ย แต่ตลาดเริ่มมีแนวคิดเพิ่มมากขึ้นว่าธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) น่าจะปรับอัตราดอกเบี้ยขึ้นในช่วงปลายปีนี้ ด้านการประชุมธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) สัปดาห์นี้น่าจะมีการออกมาตรการผ่อนคลายทางการเงินเพิ่มขึ้นอีก และรวมทั้งรัฐบาลญี่ปุ่นเตรียมมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจด้านการคลังมูลค่ากว่า 20 ล้านล้านเยน ซึ่งเป็นปัจจัยบวกต่อตลาด
นายวรุตม์ กล่าวเพิ่มเติมว่า ด้านภายในประเทศ รัฐบาลยังคงดำเนินการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่อย่างต่อเนื่อง ซึ่งถือเป็นปัจจัยบวกของประเทศ ทั้งนี้ เดือนหน้าต้องติดตามการที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) จะประกาศตัวเลขอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ (GDP) ไตรมาส 2/59 ซึ่งคาดว่าจะขยายตัวดีพอสมควร โดยกระทรวงการคลังคาดว่าจะขยายตัวเกิน 3% ในไตรมาส 2 และรายงานของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ราคาผลิตผลทางการเกษตรดีขึ้น ทำให้การใช้จ่ายภาคครัวเรือนดีขึ้นตั้งแต่เดือน พ.ค.เป็นต้นมา และการผ่อนคลายลงของภาวะภัยแล้งก็เป็นผลบวกต่อภาวะการใช้จ่ายเช่นกัน
ปัจจัยที่ต้องจับตา คือ การลงประชามติการรับหรือไม่รับร่างรัฐธรรมนูญ ในวันที่ 7 ส.ค.นี้ และปัจจัยด้านการเมืองที่สืบเนื่องจากการรับหรือไม่รับร่างรัฐธรรมนูญต่อเนื่องไปอีก ก่อนที่จะไปถึงการเลือกตั้งในปีหน้า ดังนั้น ปัจจัยเหล่านี้ทำให้นักลงทุนต้องระมัดระวังพอสมควรในการลงทุน
สำหรับ Trading Idea ประจำสัปดาห์นี้ บล.เอเชีย เวลท์ เลือก บมจ.พีทีที โกลบอล เคมิคอล (PTTGC) หลังจากที่เห็นภาวะความต้องการใช้ผลิตภัณฑ์โอเลฟินส์ในภูมิภาคที่ยังคงแข็งแกร่งอย่างต่อเนื่อง สะท้อนจากส่วนต่าง (Spread) ราคาผลิตภัณฑ์ HDPE ในภูมิภาค ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์หลักของ PTTGC เทียบต้นทุนแนฟทาที่ยังสามารถยืนตัวในระดับสูงกว่า 700 ดอลลาร์ฯ ต่อตันได้อย่างต่อเนื่องมาโดยตลอด แม้ว่าจะมีความกังวลเกี่ยวกับแนวโน้มเศรษฐกิจจีนที่ชะลอตัวก็ตาม นอกจากนี้ ราคาน้ำมันดิบโลกที่ทยอยฟื้นตัวสูงขึ้นจากการที่อุปสงค์และอุปทานเข้าสู่ภาวะสมดุลมากขึ้นจะเป็นผลบวกต่อผู้ผลิตปิโตรเคมีสายโอเลฟินส์ที่ใช้ก๊าซธรรมชาติเป็นวัตถุดิบ
แนวโน้มกำไรสุทธิของ PTTGC คาดจะเห็นการเติบโต 23% YoY ในปีนี้ หนุนจากภาวะขาขึ้นของโอเลฟินส์ ซึ่งจะสามารถชดเชยกับผลกระทบเชิงลบจากการหยุดซ่อมบำรุงโรงงานหลาย ๆ หน่วยในช่วงครึ่งปีแรกได้ ก่อนที่กำไรจะเติบโตอย่างแข็งแกร่งต่อเนื่องอีก 20% YoY ในปี 2560 ด้านราคาหุ้นปัจจุบันยังน่าสนใจ ด้วย Valuation ค่อนข้างถูก โดยมี P/E ratio ที่ 11 เท่า และมีอัตราผลตอบแทนเงินปันผลที่ประมาณ 5.0% ต่อปี
ด้าน Technical รูปแบบราคาของ PTTGC มีความแข็งแกร่งในแนวโน้มขาขึ้นต่อไปจากการเกิดทั้งสัญญาณซื้อในรายวัน รายสัปดาห์ และรายเดือน ซึ่งบอกเป็นนัยว่าจากนี้ไปน่าจะเห็นความแข็งแกร่งรอบใหม่ของ PTTGC เดือน โดย บล.เอเชีย เวลท์ ให้ราคาเป้าหมายที่ 69.60 บาท มี Upside ประมาณ 11%