นายทอมมี่ เตชะอุบล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.คันทรี่ กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ (CGH) มีแผนเข้าซื้อกิจการที่มีศักยภาพในการเติบโตสูง อาทิ กลุ่มธุรกิจการเงินที่มีศักยภาพ อสังหาริมทรัพย์ พลังงาน ธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการบริการทั้งในและต่างประเทศ โดยมีเป้าหมายหลักในการสร้างรายได้อย่างสม่ำเสมอและเติบโตมั่นคง
ทั้งนี้ บริษัท กำหนดเป้าหมายการลงทุนในกิจการทั้งในและต่างประเทศที่มีศักยภาพจะสร้างผลตอบแทนการลงทุนในระดับ 15% รวมถึงการลงทุนบริษัทในเครือ ได้แก่ บมจ.คันทรี่ กรุ๊ป (CGS) บลจ.เอ็มเอฟซี (MFC) และ บมจ.ผาแดงอินดัสตรี (PDI)
การดำเนินการดังกล่าวเป็นไปตามกลยุทธ์หลัก 3 ด้าน ได้แก่ 1.ประสิทธิภาพการบริหารสินทรัพย์ที่มีอยู่อย่างหลากหลายได้อย่างคล่องตัว คุ้มค่าและเกิดประโยชน์สูงสุด 2.การปรับโครงสร้างบริษัทในเครือ เน้นความสามารถในการสร้างผลตอบแทนที่ดีขึ้น และ 3.การเข้าซื้อกิจการที่มีศักยภาพในการเติบโตสูง เพื่อให้เป็น 1 ใน SET50 ภายในปี 63
นายทอมมี่ กล่าวต่อว่า ตามแผนที่บริษัทจะก้าวเข้าสู่บริษัทจดทะเบียนใน SET50 ภายในปี 63 นั้น บริษัทเชื่อว่าเมื่อถึงเวลานั้นจะมีกำไรสุทธิเกิน 1,000 ล้านบาท จากปีนี้คาดว่ากำไรน่าจะเกิน 100 ล้านบาท โดยจากนี้ไปบริษัท ซึ่งเป็นโฮลดิ้งก็จะรับรู้รายได้และกำไรจากบริษัทลูกมากขึ้นอย่างต่อเนื่องแน่นอน หลังจากที่เข้าไปปรับโครงสร้างของบริษัทลูกแล้ว
อย่างไรก็ตาม ในปีนี้กำไรที่ทะลุ 100 ล้านบาทนั้นส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากมีกำไรจากรายการพิเศษเข้ามาด้วย โดยไตรมาส 3/59 คาดบันทึกกำไรจากการขายธุรกิจการเป็นนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์รายย่อยภายใต้ บล.คันทรี่ กรุ๊ป (CGS) ส่วนใหญ่ให้กับ บล.ยูโอบีเคเฮียน (ประเทศไทย) จำกัด (UOBKH) ซึ่งจะโอนกิจการเสร็จสิ้นภายในอีก 2 สัปดาห์นี้ โดยปัจจุบัน CGS มี 40 สาขา ที่ขายให้ UOBKH ก็เป็นส่วนใหญ่
นายทอมมี่ กล่าวว่า ผลประกอบการไตรมาส 1/59 บริษัทมีกำไรสุทธิ 51 ล้านบาทแล้ว ก็เชื่อว่าไตรมาสที่เหลือกำไรจะดีต่อเนื่อง ประกอบกับภาวะตลาดครึ่งหลังดีกว่าครึ่งแรกด้วย และไตรมาส 3 ยังบันทึกรายการพิเศษเข้ามาด้วย
"ปี 63 จะเข้า SET50 นอกจากเป้ากำไรสุทธิเกิน 1,000 ล้านบาท ต้องเป็น growth stock ด้วย ซึ่งต้องมีบริษัทใหญ่ ๆ ที่เราเข้าไปลงทุนเพิ่มเติมเข้ามา เช่น ซื้อเครือข่ายโรงแรม หรือธุรกิจพลังงาน โรงพยาบาลเราก็มอง แต่การลงทุนเราอยากเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ เพราะเราต้องกำหนดนโยบายได้ ต้องปรับโครงสร้างได้"นายทอมมี่ กล่าว
สำหรับปีนี้สัดส่วนกำไรหลัก ๆ ยังมาจาก CGS ราว 50-60% MFC ราว 15% และ PDI ราว 10-15% ส่วนที่เหลือก็เป็นกำไรจากโฮลดิ้ง
ปัจจุบัน CGH ถือหุ้นใน CGS 99.3%,MFC 24.9% ,PDI 21.8% และ CGD 8.5% ที่เหลือเป็นการถือหุ้นในธุรกิจใหม่ๆ ซึ่งจะต้องอยู่ภายใต้เป้าหมายหมายผลตอบแทนการลงทุน 15% โดยครึ่งปีหลังนี้บริษัทมีเงินสดในมือราว 1.5 พันล้านบาท เตรียมพร้อมสำหรับการมองหาซื้อกิจการที่ต้องการให้บริษัทเข้าไปช่วยเรื่องสภาพคล่อง ซึ่งนโยบายของ CGH ต้องการเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่เท่านั้น
อย่างไรก็ตาม หากมีการเข้าซื้อกิจการที่มีขนาดใหญ่ บริษัทก็ไม่มีปัญหาด้านเงินทุน เพราะมีวงเงินที่ได้รับอนุมัติจากที่ประชุมผู้ถือหุ้นให้ออกหุ้นกู้วงเงิน 2,000 ล้านบาท และเตรียมการออกหุ้นเพิ่มทุนให้กับนักลงทุนเฉพาะเจาะจง (PP) อีก 430 ล้านหุ้น รวมทั้งยังสามารถออกตั๋วแลกเงิน (BE) ได้อีก 2,000 ล้านบาท ขณะเดียวกันบริษัทลูกแต่ละแห่งก็มีกระแสเงินสดจำนวนมากและไม่มีหนี้ ดังนั้น หากมีโอกาสการลงทุนที่ดี บริษัทก็สามารถเข้าไปลงทุนได้ทันที
นายทอมมี่ ยังกล่าวถึงการปรับโครงสร้างธุรกิจของบริษัทในเครือแต่ละบริษัทว่า ในส่วนของธุรกิจนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ของ CGS ที่ได้ขายพอร์ตลูกค้ารายย่อยให้กับ UOBKH เพราะเห็นว่ารายได้จากธุรกิจดังกล่าวลดลงปีละ 7% มาอย่างต่อเนื่อง หากไม่ปรับโครงสร้างก็จะไม่สามารถแก้ไขปัญหาได้ ถึงแม้ CGS จะยังคงมีกำไร แต่ก็จะหาได้ยากขึ้นเรื่อย ๆ
หลังขายแล้วเป็นจุดที่คิดว่าปรับโครงสร้างคราวนี้มาถูกทางแล้ว โดยขายในส่วนที่เป็นสาขาไป แต่จะเก็บส่วนที่มีกำไรมากขึ้นไว้ และจากนี้ไปก็จะเน้นส่วนที่มีกำไรมากขึ้น เช่น งานที่ปรึกษาทางการเงินที่ปีนี้มีอัตราเติบโตสูงถึง 50% ครึ่งปีหลังนี้ยังดีลในมืออีกเป็นจำนวนมาก แต่ไม่มี IPO ส่วน Prop trade ปัจจุบันมีทีม 20 คนยังทำกำไรได้ดีมาก โดยพอร์ตรายวันอยู่ที่ 2,000-3,000 ล้านบาท ที่ผ่านมารายได้เติบโตเกือบ 100% จากปีก่อน
"เราก็จะเน้นเฉพาะธุรกิจที่มีมาร์จินสูง แต่ต้นทุนต่ำ cost ลดลง ก็จะทำให้ความสามารถในการทำกำไรสูงขึ้น"นายทอมมี่ กล่าว
สำหรับกิจการของ PDI มองว่ายังมีโอกาสเติบโตค่อนข้างมาก เพราะมีความแข็งแกร่งทางการเงิน ตั้งแต่เข้าไปปรับโครงสร้างธุรกิจให้มุ่งเน้น 2-3 เรื่อง และตั้งเป้าหมายกำไรเติบโตอย่างน้อยปีละ 15% และทำกำไรต่อเนื่อง
โดย 2 ธุรกิจแรก คือ ธุรกิจพลังงานภายใต้ พีดีไอ เอ็นเนอร์ยี่ ลงทุนโครงการโซล่าร์ฟาร์มที่ญี่ปุ่น 2 โครงการ รวม 36 เมกะวัตต์ ซึ่งโครงการแรกเริ่มก่อสร้างในเดือน ส.ค.และจะจ่ายไฟเชิงพาณิชย์ (COD) เฟสแรก 12 เมกะวัตต์ราวต้นปี 60 ส่วนที่เหลือทยอยสร้างและคาด COD ครบ 36 เมกะวัตต์ปลายปี 60 และยังมีนโยบายลงทุนเพิ่มต่อเนืองในโซลาร์ฟาร์ม
ส่วนธุรกิจภายใต้ พีดีไอ แมททีเรียล ดำเนินธุรกิจสกัดสังกะสีจากวัสดุที่ไม่ใช้แล้วจากโรงงานอุตสาหกรรม โดยผ่านกระบวนการซึ่งเป็นนวัตกรรมที่ใช้อุณหภูมิสูงมากเป็นพิเศษ คาดโรงงานจะก่อสร้างเสร็จไตรมาส 1/60
"ไม่ได้มองว่า PDI จะสร้างผลกำไรให้เราในปีนี้ แต่หลังจากธุรกิจดำเนินงานภายใน 1-2 ปีรายได้จะขึ้น 15% ทันที ในที่สุดเราก็ได้ผลกำไรในส่วนผู้ถือหุ้น เพราะเราถือหุ้นเยอะ"นายทอมมี่ กล่าว
สำหรับ CGD บริษัทก็มีแผนจะถือหุ้นเพิ่มจากปัจจุบัน 8.5% เพราะแนวโน้มอัตราเติบโตเร็วมากขึ้นทุก ๆ ปี โดยปี 61 คาดว่าจะรับรู้รายได้จากการโอนคอนโดมิเนียม โครงการโฟร์ซีซั่นส์ ไพรเวท เรสซิเด้นซ์ มูลค่า 1.9 หมื่นล้านบาท โดยปัจจุบันมียอดขายแล้ว 50% นอกจากนี้ ยังมีโรงแรมอีก 2 แห่ง ขนาด 100 ห้อง และ 300 ห้องที่จะสร้างรายได้เข้ามาอย่างต่อเนื่อง
นอกจากนี้ CGD ยังมองหาซื้อโรงเรียนในประเทศอังกฤษเพิ่มอีก 2-3 แห่ง หลังจากเข้าซื้อกิจการในเมืองไบรตัน ประเทศอังกฤษ มูลค่า 18 ล้านปอนด์ หรือ 848 ล้านบาทไปแล้ว ซึ่งมองว่ากิจการโรงเรียนเป็นจุด growth story ของบริษัทได้ เนื่องจากหลังการลงประชาติของอังกฤษออกจากสมาชิกสหภาพยุโรป (Brexit) ส่งผลให้เงินปอนด์อ่อนค่าลงต่ำสุดรอบ 30 ปี ซึ่งเป็นโอกาสการลงทุนที่ดี
"ถ้าต่างประเทศตอนนี้เราเจาะจงในอังกฤษเพราะปอนด์ ปรับลง ราคาต่ำสุดในรอบ 30 ปี หลัง Brexit คนอื่นกลัวแต่เรามองเป็นโอกาสคิดว่าน่าจะทำกำไรได้ เราจะเข้าไปซื้อขายสินทรัพย์และปรับโครงสร้างไปเรื่อยๆ มองอังกฤษ อสังหาฯ พลังงาน การลงทุนตอนนี้ดีเพราะดอกเบี้ยต่ำ"นายทอมมี่ กล่าว