นายสมภพ กีระสุนทรพงษ์ กรรมการผู้อำนวยการ บล.ฟินันเซีย ไซรัส ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงินและผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย หุ้นสามัญเพิ่มทุนของ บมจ.เอกชัยการแพทย์ (EKH) ให้กับประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (IPO)เปิดเผยว่า การซื้อขายหุ้นเป็นวันแรกของ EKH ในวันนี้ราคาหุ้นปิดที่ 6.60 บาท ปรับเพิ่มขึ้นถึง 116.39% จากราคา IPO ที่ 3.05 บาทต่อหุ้น ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากการกำหนดราคา IPO ที่เหมาะสม ประกอบกับปัจจัยพื้นฐานที่แข็งแกร่ง รวมถึงศักยภาพในการเติบโตในอนาคต และเชื่อว่า EKH จะยังได้รับการตอบรับที่ดีจากนักลงทุนอย่างต่อเนื่อง
"EKH ได้รับความสนใจอย่างมากจากนักลงทุนตั้งแต่ช่วงเดินสายโรดโชว์และการจองซื้อ โดยกลุ่มนักลงทุนทั่วไปให้ความสนใจจองซื้อเข้ามาอย่างล้นหลาม ซึ่งถือว่านักลงทุนยังคงให้ความสำคัญกับการลงทุนในหุ้นไอพีโอแต่เป็นลักษณะการเลือกลงทุนเพิ่มมากขึ้น โดย EKH มีอัตราการเติบโตอย่างมีนัยสำคัญในอนาคตและมีความเสี่ยงในธุรกิจต่ำ"นายสมภพ กล่าว
ด้าน นพ.อำนาจ เอื้ออารีมิตร ผู้อำนวยการโรงพยาบาล EKH เปิดเผยว่า หุ้น EKH เข้าเทรดวันแรกในกลุ่มธุรกิจการแพทย์ ได้รับการตอบรับจากนักลงทุนอย่างน่าประทับใจ บริษัทพร้อมที่จะพัฒนาศักยภาพและการเติบโตต่อไปในอนาคตไม่ทำให้นักลงทุนและผู้ถือหุ้นผิดหวัง สำหรับเงินที่ได้จากการระดมทุนในครั้งนี้จะนำไปใช้อย่างคุ้มค่าและยึดหลักธรรมาภิบาลในการบริหารธุรกิจ
"บริษัทฯ มีโครงการในอนาคตที่ชัดเจน สนับสนุนการเติบโตของรายได้และกำไรให้เติบโตขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ เงินที่ได้จากการระดมทุนในครั้งนี้ 508.74 ล้านบาท จะนำไปใช้โครงการก่อสร้างศูนย์กุมารเวชแห่งใหม่ ที่มีความทันสมัยและครบวงจรที่สุดในจังหวัด สมุทรสาคร โดยคาดว่าจะใช้เงินลงทุนจำนวน 200 ล้านบาท รองรับการให้บริการแผนกแม่และเด็กที่มีความต้องการสูง และโรงพยาบาลมีความเชี่ยวชาญเป็นพิเศษ คาดว่าศูนย์ดังกล่าวจะแล้วเสร็จพร้อมเปิดให้บริการได้ต้นปี 2562 ซึ่งจะช่วยสนับสนุนการเติบโตของโรงพยาบาลมากยิ่งขึ้น
นอกจากนี้ จะนำไปใช้ปรับปรุงอาคารโรงพยาบาลเดิมและลานจอดรถ 50 ล้านบาท ส่วนที่เหลือนำไปใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนจำนวน 237.13 ล้านบาท รองรับโอกาสหรือการขยายธุรกิจในอนาคต ซึ่งจากโครงการที่กล่าวมา จะทำให้สามารถบรรลุเป้าหมายการเติบโตของรายได้เฉลี่ยไม่ต่ำกว่า 12-15% ต่อปี พร้อมทั้งมีนโยบายการจ่ายปันผลในอัตราไม่น้อยกว่า 40% ของกำไรสุทธิ" นพ.อำนาจ กล่าว
ทั้งนี้ หุ้น EHK เปิดการซื้อขายวันแรกที่ระดับราคา 7.20 บาท ก่อนปรับขึ้นไปสูงสุดของวันที่ 7.55 บาท และปิดที่ระดับราคา 6.60 บาท มูลค่าการซื้อขายประมาณ 3,862.04 ล้านบาท