นายสาธิต โกศินานนท์ รองกรรมการผู้จัดการ บมจ.บางสะพานบาร์มิล(BSBM) เปิดเผยกับ"อินโฟเควสท์"โดยปฏิเสธกระแสข่าวที่ระบุว่ากลุ่มปูนซิเมนต์รายใหญ่ซุ่มเจรจาร่วมทุนหรือเทคโอเวอร์ ซึ่งไม่เป็นความจริง เพราะกลุ่มปูนซิเมนต์เป็นคู่ค้าหลักของบริษัทมาหลายปีแล้วทั้งซื้อสินค้าและว่าจ้างผลิต แต่ไม่เคยมีการเจรจาใด ๆ ในรูปแบบอื่น
"ไม่น่าจะใช่ ช่วงก่อนหน้าก็มีข่าวลือว่าบริษัทอสังหาริมทรัพย์จะมาซื้อ BSBM วันนี้มีกลุ่มปูนซิเมนต์อีก ถ้าจะเป็นลักษณะการร่วมทำธุรกิจกันในแง่พาร์ทเนอร์เป็นไปได้ เพราะปัจจุบันเราผลิตเหล็กและขายให้กับกลุ่มปูน เป็นคู่ค้ากับมาหลายปีแล้ว ถือเป็นลูกค้าสำคัญ และมีการว่าจ้างผลิตสินค้า (OEM) ให้ แต่ถ้าจะถึงขั้นร่วมทุนหรือเทคโวเวอร์ ยังมองไม่เห็น"นายสาธิตกล่าว
ขณะที่ทิศทางของผลประกอบการในปีนี้ บริษัทมั่นใจว่าจะพลิกกำไรสุทธิ จากปี 58 ที่มีผลขาดทุนสุทธิ 86 ล้านบาท โดยไตรมาส 1/59 มีกำไรสุทธิแล้ว 70.19 ล้านบาท และแนวโน้มไตรมาส 2/59 คาดว่ากำไรสุทธิจะสูงกว่าไตรมาสแรก เนื่องจากราคาขายเหล็กยังทรงตัวในระดับใกล้เคียงกับไตรมาสก่อนที่เฉลี่ย 15-17 บาท/ก.ก.
"ไตรมาส 2 ยังได้รับผลดีต่อเนื่องจากไตรมาสแรก ยังดูดีอยู่มาก เพราะในไตรมาส 1/59 อย่างเดือน ม.ค.เรายังขาดทุนอยู่ และมีกำไรในก.พ.-มี.ค. แต่ไตรมาส 2 เรามีกำไรทุกเดือนก็เชื่อว่าไตรมาส 2 ทั้งไตรมาสกำไรจะสูงกว่าไตรมาส 1/59 ทั้งปีก็น่าจะเป็นกำไรสุทธิเท่าที่ดูแนวโน้ม ขณะที่ปี 58 เป็นขาลงตลอดทั้งปี"นายสาธิต กล่าว
ทั้งนี้ บริษัทตั้งเป้าปริมาณการขายเหล็กและรายได้จากการขายในปีนี้เติบโตมากกว่า 10% จากปีก่อนที่มีรายได้ 2,054 ล้านบาท โดยครึ่งแรกสามารถทำได้ตามเป้าแล้ว โดยไตรมาส 1/59 มีรายได้ 790 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 77% จากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน ตามปริมาณขายและราคาเหล็กที่ปรับตัวสูงขึ้น แนวโน้มไตรมาส 2/59 ยังดีต่อเนื่องทั้งรายได้และกำไร
ส่วนครึ่งปีหลังยังต้องขอรอดูสถานการณ์ก่อน เพราะปกติไตรมาส 3-ไตรมาส 4 ลูกค้าจะชะลอคำสั่งซื้อ และเป็นไปตามความต้องการในประเทศที่จะชะลอลงหลังจากสั่งซื้อไปมากแล้วในครึ่งปีแรก แต่สำหรับปีนี้มีมีปัจจัยบวกเพิ่มเข้ามา คือ การลงทุนของภาครัฐในโครงการขนาดใหญ่
บริษัทตั้งเป้าหมายปริมาณขายในปีนี้เฉลี่ยเดือนละ 2 หมื่นตัน ซึ่งครึ่งปีแรกก็เป็นไปตามที่คาดไว้อย่างต่อเนื่องทุกเดือน โดยไตรมาสแรกมีปริมาณขายราว 58,735 ตัน เทียบกับงวดเดียวกันปีก่อนที่ขายเฉลี่ยนเดือนละ 1 หมื่นตัน ซึ่งบางเดือนขายได้แค่ 7-8 พันตัน และไปขายได้ดีในไตรมาส 4/58 ที่ 1.7-1.8 หมื่นตัน
"ที่ตั้งเป้ารายได้เติบโตได้มากกว่า 10% ซึ่งเราตั้งเป้าแบบ conservative เพราะเราไม่รู้ว่าไตรมาส 3-4 จะเป็นอย่างไร ซึ่งธุรกิจเหล็กมีความไม่แน่นอนสูง จึงพูดเต็มปากไม่ได้ว่าคาดการณ์เท่านั้นเท่านั้น รอดูครึ่งหลัง โดยเฉพาะเมกะโปรเจ็คต์ ยี่ปั๊วจะมีโปรเจ็คต์ในมือมากน้อยแค่ไหน รอดูราคาเหล็กด้วย เพราะไตรมาส 3-4 อาจชะลอลงตามดีมานด์ในประเทศ"นายสาธิต กล่าว
นายสาธิต ยังเปิดเผยอีกว่า บริษัทคาดว่าในปีนี้อัตรากำไรขั้นต้นจะสูงขึ้นมาเป็นตัวเลข 2 หลัก จากปีก่อนติดลบในช่วงราคาเหล็กขาลง โดยไตรมาส 1/59 สูงขึ้นมาที่ 12% แล้ว เพราะส่วนต่างราคาขายกับต้นทุนวัตถุดิบปรับตัวเพิ่มสูงขึ้น ซึ่งส่งผลอย่างมากต่ออัตรากำไร และไตรมาส 2/59 ยังทำได้ใกล้เคียงไตรมาสแรก หรืออาจจะสูงกว่า
"ครึ่งแรกมาร์จินดีเพราะพอราคาเหล็กเริ่มขึ้น คนก็กลัวว่าราคาจะไปไกลกว่านี้จึงซื้อไว้ก่อน เพราะกังวลต้นทุนของตัวเองจะไปไกลกว่านี้ แต่พอไตรมาส 3 ราคาเริ่มนิ่งก็ชะลอการสั่งซื้อไป เพราะไตรมาสแรกซื้อเยอะแล้ว ขณะที่เรามีสต็อกวัตถุดิบต้นทุนยังต่ำอยู่ด้วย บางครั้งเป็นช่วงจังหวะด้วย ไตรมาส 1-2 เป็นช่วงที่เราสั่งวัตถุดิบเข้ามาต้นทุนเดิม แต่ขายได้ราคาดีขึ้น ทำให้มาร์จินไตรมาส 1 เกิน 10% ไตรมาส 2 ก็น่าจะใกล้เคียงกัน ทั้งปีก็น่าจะเกิน 10% หรือเป็นตัวเลข 2 หลัก ขึ้นอยู่กับครึ่งปีหลังด้วย"นายสาธิต กล่าว
ปัจจุบัน ปริมาณขายเหล็กของบริษัท แบ่งสัดส่วนการขายเป็นเหล็กข้ออ้อย 60% เหล็กเส้นกลม 40% จากก่อนหน้าเป็นเหล็กเส้นกลม 60% เหล็กข้ออ้อย 40%
อย่างไรก็ตาม ในปีนี้บริษัทจะยังไม่มีการลงทุนขนาดใหญ่ หลังจากในปี 58 ได้ลงทุนปรับปรุงรายการผลิตให้ทันสมัยเพื่อลดต้นทุน เพราะมองว่าตลาดในประเทศไทยความต้องการเหล็กข้ออ้อยมากขึ้น จากแต่ก่อนที่ความต้องการเล็กเส้นกลมมีมากกว่า แม้ว่าเหล็กข้ออ้อยไม่ได้มีมาร์จิ้นสูงกว่า แต่เป็นตลาดที่ใหญ่กว่า ซึ่งปัจจุบันบริษัทขายในประเทศทั้ง 100% เพราะแข่งขันกับจีนในตลาดส่งออกได้ยาก ส่วนการหาพันธมิตรร่วมทำธุรกิจยังไม่มีแผนในตอนนี้ และยังไม่มีแผนจะแตกไลน์ไปธุรกิจอื่น