ทริสเรทติ้งคงอันดับเครดิตองค์กรและหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันของ บมจ. เอ็ม บี เค (MBK) ที่ระดับ “A" ด้วยแนวโน้ม “Stable" หรือ “คงที่" อันดับเครดิตสะท้อนถึงการที่บริษัทมีกระแสเงินสดที่แน่นอนจากธุรกิจให้เช่าพื้นที่ค้าปลีก ตลอดจนการมีความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกับกลุ่มธนชาต และความยืดหยุ่นด้านการเงินที่อยู่ในระดับสูงจากการมีเงินลงทุนในหลักทรัพย์จำนวนมาก อย่างไรก็ตาม จุดเด่นดังกล่าวถูกลดทอนบางส่วนจากปัจจัยต่าง ๆ ได้แก่ การขยายสู่ธุรกิจอื่น ๆ ที่มีความเสี่ยงสูงเช่นธุรกิจให้บริการทางการเงินและการชะลอตัวของภาวะเศรษฐกิจภายในประเทศ
แนวโน้มอันดับเครดิต “Stable" หรือ “คงที่" สะท้อนถึงการคาดการณ์ว่าบริษัทจะยังคงมีกระแสเงินสดที่แน่นอนจากธุรกิจให้เช่าพื้นที่ค้าปลีก อันดับเครดิตอาจถูกปรับเพิ่มขึ้นหากกระแสเงินสดของบริษัทปรับเพิ่มขึ้นอย่างมากในขณะที่อัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนยังคงอยู่ในระดับปัจจุบัน ในทางตรงข้าม อันดับเครดิตอาจถูกปรับลดลงหากผลการดำเนินงานของบริษัทถดถอยลงอย่างมากเป็นเวลานาน หรือบริษัทมีการลงทุนที่มีการก่อหนี้เป็นจำนวนมาก
บริษัทเอ็ม บี เค ก่อตั้งในปี 2517 ปัจจุบัน บริษัท ทุนธนชาต จำกัด (มหาชน) และบริษัทในกลุ่มธนชาตเป็นผู้ถือหุ้นหลักของบริษัทในสัดส่วนรวม 20% บริษัทดำเนินธุรกิจพื้นที่ค้าปลีกให้เช่า ตลอดจนธุรกิจโรงแรม สนามกอล์ฟ พัฒนาที่อยู่อาศัย อาหาร และธุรกิจการเงิน โดยบริษัทเป็นเจ้าของและบริหารจัดการศูนย์การค้า “เอ็ม บี เค เซ็นเตอร์" ซึ่งเป็นศูนย์การค้าที่มีชื่อเสียงซึ่งตั้งอยู่บนที่ดินเช่าติดกับย่านสยามสแควร์ในใจกลางกรุงเทพฯ แม้จะมีธุรกิจที่หลากหลาย แต่ผลประกอบการของบริษัทยังคงขึ้นอยู่กับสินทรัพย์หลักอันได้แก่ศูนย์การค้าเอ็ม บี เค เซ็นเตอร์ และ “โรงแรมปทุมวันปริ๊นเซส" ซึ่งตั้งอยู่ในบริเวณเดียวกัน โดยในปี 2558 สินทรัพย์ดังกล่าวสร้างรายได้ประมาณ 30% และสร้างกระแสเงินสดประมาณ 51% ให้แก่บริษัท เพื่อลดความเสี่ยงจากการกระจุกตัวของรายได้ บริษัทจึงได้เปิดศูนย์การค้า 3 แห่งในระหว่างปี 2553-2557 ได้แก่ “พาราไดซ์พาร์ค" และ “ฮาฮา มาร์เก็ต" ซึ่งอยู่ในรูปแบบศูนย์การค้า ส่วน “เดอะ ไนน์" อยู่ในรูปแบบศูนย์การค้าชุมชน (Community Mall) นอกจากนี้ บริษัทยังมีสัดส่วนการลงทุน 31% ใน บริษัท สยามพิวรรธน์ จำกัด ซึ่งเป็นเจ้าของและเป็นผู้บริหารศูนย์การค้าในย่านสยามสแควร์อีกด้วย ณ เดือนมีนาคม 2559 บริษัทบริหารพื้นที่ค้าปลีกรวม 191,522 ตารางเมตร (ตร.ม.) และพื้นที่อาคารสำนักงานให้เช่ารวม 54,355 ตร.ม.
สำหรับธุรกิจโรงแรมนั้น ปัจจุบันบริษัทเป็นเจ้าของและให้บริการโรงแรม 6 แห่งในจังหวัดที่เป็นแหล่งท่องเที่ยวสำคัญของประเทศโดยมีจำนวนห้องพักรวม 979 ห้อง โดยในช่วงไตรมาสแรกของปี 2559 จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องที่ระดับ 15.5% สู่ระดับ 9.04 ล้านคน ซึ่งส่งผลให้อัตราการเข้าพักโรงแรมเฉลี่ยของบริษัทยังคงอยู่ในระดับสูงที่ 84% ในช่วงไตรมาสแรกของปี 2559 ส่วนอัตราค่าห้องพักปรับตัวเพิ่มขึ้น 4.3% หรือที่ระดับ 3,521 บาทต่อคืนในช่วงไตรมาสแรกของปี 2559 ส่งผลให้อัตรารายได้ต่อห้องพักที่มีอยู่ของบริษัท (Revenue Per Available Room - RevPAR) โดยเฉลี่ยเพิ่มขึ้นจาก 2,838 บาทต่อคืนในช่วงไตรมาสแรกของปี 2558 เป็น 2,946 บาทต่อคืนในช่วงไตรมาสแรกของปี 2559
สำหรับธุรกิจให้บริการทางการเงินนั้น บริษัทให้บริการสินเชื่อรถจักรยานยนต์ผ่านการดำเนินงานของ บริษัท ที ลีสซิ่ง จำกัด และให้บริการสินเชื่ออสังหาริมทรัพย์ผ่าน บริษัท เอ็ม บี เค การันตี จำกัด โดยยอดสินเชื่อเช่าซื้อรถจักรยานยนต์คงค้างของบริษัทเพิ่มขึ้นจาก 2,001 ล้านบาท ณ เดือนธันวาคม 2557 เป็น 2,427 ล้านบาท ณ เดือนมีนาคม 2559 ในขณะที่อัตราส่วนสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ต่อเงินให้สินเชื่อเช่าซื้อรถจักรยานยนต์รวมของบริษัทปรับตัวดีขึ้นจากระดับ 4.9% ในปี 2557 เป็น 3.2% ณ เดือนมีนาคม 2559 เนื่องจากบริษัทให้ความสำคัญในกระบวนการอนุมัติสินเชื่อและจัดเก็บหนี้เพิ่มมากขึ้น ในส่วนการให้บริการสินเชื่ออสังหาริมทรัพย์นั้น บริษัทมียอดสินเชื่อคงค้างที่มีอสังหาริมทรัพย์ค้ำประกันเพิ่มขึ้นจาก 3,630 ล้านบาท ณ เดือนธันวาคม 2557 เป็น 4,526 ล้านบาท ณ เดือนมีนาคม 2559 อย่างไรก็ตาม อัตราส่วนสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ต่อเงินให้สินเชื่อคงค้างที่มีอสังหาริมทรัพย์ค้ำประกันของบริษัทเพิ่มขึ้นจาก 1.4% ในปี 2557 เป็น 3.1% ณ เดือนมีนาคม 2559
สำหรับช่วง 2558 ถึงไตรมาสแรกของปี 2559 รายได้ของบริษัทปรับตัวเพิ่มขึ้น 26% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมาเนื่องจากการรับรู้รายได้จากการขายคอนโดมิเนียมและการส่งออกข้าวที่สูงขึ้น อัตราส่วนกำไรจากการดำเนินงานของบริษัทอยู่ที่ระดับ 35.3% ในปี 2558 และเพิ่มขึ้นเป็น 40.3% ในช่วงไตรมาสแรกของปี 2559 อันเป็นผลมาจากผลประกอบการที่ดีขึ้นของธุรกิจพื้นที่ค้าปลีกให้เช่าและธุรกิจอสังหาริมทรัพย์
เงินกู้รวมของบริษัทเพิ่มขึ้นจาก 14,026 ล้านบาทในปี 2557 เป็น 15,387 ล้านบาท ณ สิ้นเดือนมีนาคม 2559 จากการลงทุนในหลักทรัพย์ อย่างไรก็ตาม อัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนของบริษัทยังคงอยู่ที่ระดับ 52% ณ สิ้นเดือนมีนาคม 2559 เนื่องจากส่วนทุนของบริษัทปรับเพิ่มขึ้นจากผลกำไรจากการดำเนินงาน
สภาพคล่องของบริษัทอยู่ในระดับที่น่าพอใจ เงินทุนจากการดำเนินงานในปี 2558 ปรับลดลงสู่ระดับ 2,650 ล้านบาทเนื่องจากเงินมัดจำจากผู้เช่าลดลง อัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อเงินกู้รวมก็ปรับตัวลดลงจาก 14.6% ในปี 2557 เป็น 12.6% ในปี 2558 สำหรับช่วงไตรมาสแรกของปี 2559 เงินทุนจากการดำเนินงานของบริษัทอยู่ที่ระดับ 768 ล้านบาท ส่วนอัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อเงินกู้รวมก็อยู่ที่ระดับ 18.1% (ปรับเป็นอัตราส่วนเต็มปีด้วยตัวเลข 12 เดือนย้อนหลัง) โดย ณ เดือนมีนาคม 2559 บริษัทมีเงินสดในมือจำนวน 350 ล้านบาทและมีเงินลงทุนชั่วคราวมูลค่า 4,120 ล้านบาท บริษัทมีภาระหนี้ระยะสั้นจำนวน 1,110 ล้านบาท โดยไม่มีภาระหนี้ระยะยาวที่จะครบกำหนดชำระในระยะ 12 เดือนข้างหน้าแต่อย่างใด
ทริสเรทติ้งคาดว่ารายได้ของบริษัทจะอยู่ที่ระดับประมาณ 10,000 ล้านบาทในปี 2559 และหลังจากนั้นจะปรับเพิ่มขึ้นในอัตราปานกลางจากการเพิ่มอัตราค่าเช่าพื้นที่และการให้สินเชื่อเพิ่มในธุรกิจให้บริการทางการเงิน อัตรากำไรของบริษัทคาดว่าจะอยู่ที่ระดับประมาณ 35% บริษัทมีแผนในการลงทุนในแต่ละปีประมาณ 1,000 ล้านบาทโดยใช้กระแสเงินสดภายในของบริษัท โดยอัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนคาดว่าจะอยู่ในระดับ 50% ในช่วง 3 ปีข้างหน้า