นายชัยวัฒน์ โควาวิสารัช กรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.บางจากปิโตรเลียม (BCP) เปิดเผยว่า บริษัทเตรียมเจรจากับพันธมิตรต่างชาติเพื่อศึกษาการลงทุนโรงไฟฟ้าจากพลังงานความร้อนใต้พิภพในประเทศอินโดนีเซียในช่วงเดือนก.ย.นี้ โดยโรงไฟฟ้าดังกล่าวเป็นหนึ่งในพลังงานที่ให้ความสนใจในการลงทุน แต่คาดว่าต้องใช้เวลาศึกษาระยะหนึ่ง ทำให้ยังไม่สามารถระบุความชัดเจนของการลงทุนที่แน่นอนได้
ส่วนความคืบหน้าของการเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนให้กับประชาชนครั้งแรก (IPO) ของบมจ.บีพีซีจี (BPCG) ซึ่งเป็นบริษัทย่อยที่ทำธุรกิจผลิตไฟฟ้านั้น ทางบีพีซีจีมีแผนจะขายหุ้น IPO จำนวน 600 ล้านหุ้น ซึ่งคาดว่าจะเสนอขายและเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ในหมวดพลังงานได้ภายในช่วงเดือน ก.ย.-ต.ค.นี้ โดยมีบล.กสิกรไทย บล.ฟินันซ่า และบล.ทิสโก้ เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน
สำหรับการดำเนินงานของบริษัทในปีนี้ นายชัยวัฒน์ คาดว่า ด้านปริมาณการกลั่นน้ำมันจะทำได้ตามเป้าหมายที่อย่างน้อย 110,000 บาร์เรล/วัน ซึ่งปัจจุบันโรงกลั่นของบริษัทสามารถกลับมากลั่นน้ำมันได้ในปริมาณปกติแล้วหลังจากที่ได้หยุดซ่อมบำรุงในช่วงไตรมาสแรกที่ผ่านมา
ขณะที่แนวโน้มค่าการกลั่นในไตรมาส 3/59 คาดว่าจะปรับตัวสูงขึ้นกว่าค่าการกลั่นในไตรมาส 2/59 ที่อยู่ในระดับ 6-7 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล เนื่องจากส่วนต่างราคาน้ำมันดีเซลในตลาดโลกปรับตัวสูงขึ้น ขณะที่โรงกลั่นของบริษัทกลั่นน้ำมันดีเซลออกมามากกว่าน้ำมันเบนซิน ทำให้ค่าการกลั่นของบริษัทได้รับผลบวกไปด้วย อย่างไรก็ตาม คาดว่าค่าการกลั่นของบริษัททั้งปีนี้จะอยู่ในช่วง 6-7 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล
นายชัยวัฒน์ กล่าวอีกว่า สำหรับธุรกิจค้าปลีกน้ำมันในช่วงครึ่งแรกปีนี้ ยอดขายน้ำมันเติบโต 10% สูงกว่าภาพรวมของยอดขายน้ำมันทั้งตลาดที่ในครึ่งปีแรกเติบโต 8-9% โดยปัจจุบันมียอดขายน้ำมันเฉลี่ยต่อเดือนอยู่ที่ 300-320 ล้านลิตร จากระดับ 260-270 ล้านลิตรในช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยราว 60% เป็นยอดขายน้ำมันดีเซล และอีก 40% เป็นยอดขายน้ำมันเบนซิน
สำหรับปัจจัยที่ทำให้ยอดขายน้ำมันของบริษัทเพิ่มขึ้นส่วนหนึ่งมาจากประชาชนที่ใช้รถยนต์มีการใช้น้ำมันเพิ่มขึ้น หลังราคาน้ำมันยังอยู่ในระดับที่ไม่สูงมาก ประกอบกับสถานการณ์การจราจรในปัจจุบันมีความหนาแน่นเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะการจราจรในกรุงเทพฯ ทำให้รถยนต์บริโภคน้ำมันเพิ่มขึ้นจากการจราจรที่ติดขัด
บริษัทยังคงตั้งเป้ายอดขายน้ำมันในปีนี้เติบโต 11-12% และมีส่วนแบ่งตลาด (Market Share) การขายน้ำมันที่ระดับ 15% ในสิ้นปีนี้จากระดับ 14.8% ในปีก่อน โดยส่วนแบ่งตลาดที่เพิ่มขึ้นจะมาจากการที่บริษัทนำเทคโนโลยีเข้ามาเสริมในผลิตภัณฑ์ของบริษัท ซึ่งช่วยดึงดูดความน่าสนใจของผลิตภัณฑ์เพิ่มขึ้น แม้ว่าต้นทุนของบริษัทจะเพิ่มขึ้นตาม
อนึ่ง วันนี้บริษัทเปิดตัวเทคโนโลยีการผลิตน้ำมันเชื้อเพลิงใหม่ บางจาก Green S Revolution สำหรับกลุ่มแก๊สโซฮอล์ทั้งหมด ได้แก่ แก๊สโซฮอล์ 91, 95, E20 และ E85 เพื่อเครื่องยนต์เบนซินรุ่นใหม่ระบบหัวฉีด Direct Injection Gasoline (DIG) ซึ่งเป็นระบบที่หัวฉีดจะได้รับความร้อนสูง เครื่องยนต์จึงต้องการน้ำมันเชื้อเพลิงที่มีสมรรถนะปกป้องได้ดีกว่าน้ำมันเชื้อเพลิงทั่วไป พร้อมทั้งผนวกสูตรที่ให้ความแรงมากขึ้นด้วยประสิทธิภาพทำความสะอาดเครื่องยนต์ ซึ่งได้เริ่มจำหน่ายที่สถานีบริการน้ำมันบางจากทั่วประเทศแล้ว ในราคาเดิม
ส่วนแผนการตลาดบริษัทได้วางงบประมาณกว่า 100 ล้านบาท ใช้กลยุทธ์ทั้ง above the line และ below the line ได้แก่ การออกโฆษณาด้วยแนวคิด Discovery Your S เผยแพร่ทางโทรทัศน์ วิทยุ สิ่งพิมพ์ รวมทั้งสื่อ on line นอกจากนั้นยังจัดกิจกรรมส่งเสริมการขายอย่างต่อเนื่อง เช่น เติมบางจาก E20 S รับฟรีคู่มือ 70 เส้นทางตามรอยพระบาท เติม E85 S รับแก้วแรงใจ 1 ชุด และรับคะแนนสะสม 2 เท่า สำหรับสมาชิกบัตรบางจากแก๊สโซฮอล์คลับ เป็นต้น ทั้งนี้บริษัทคาดว่าบางจาก Green S Revolution จะช่วยให้ยอดขายน้ำมันกลุ่มแก๊สโซฮอล์เพิ่มขึ้นประมาณ 10%