NUSA เซ็น PRIME เป็นตัวแทนขาย"อัพ เอกมัย คอนโดฯ"เจาะตลาดลูกค้าตปท.

ข่าวหุ้น-การเงิน Wednesday August 3, 2016 14:43 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

น.ส.วิษณี เทพเจริญ รองประธานฝ่ายการเงิน บมจ.ณุศาศิริ (NUSA) เปิดเผยว่า บริษัทได้เซ็นสัญญากับ PRIME International Property Thailand เพื่อแต่งตั้งเป็นตัวแทนขายสำหรับโครงการ อัพ เอกมัย คอนโดมิเนียม ที่มีมูลค่าเหลือขายราว 1,200 ล้านบาท จากมูลค่าโครงการทั้งหมดราว 2,400 กว่าล้านบาท ซึ่งเป็นโครงการที่ 2 ต่อจากโครงการแรก โครงการ NUSA State Tower มูลค่าขายราว 2,200 ล้านบาท ที่แต่งตั้งให้ PRIME เป็นตัวแทนขายใน กัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย ซึ่งผลตอบรับดีมาก ซึ่งโครงการสเตรท ทาวเวอร์ บริษัทได้เริ่มทยอยโอนกรรมสิทธิ์แล้วบางส่วนตั้งแต่ไตรมาส 1/59

สำหรับโครงการอัพ เอกมัย คอนโดมิเนียน PRIME มีแผนจะจัดอีเวนท์แบบ Exclusive เพื่อเสนอขายโครงการให้กับลูกค้าต่างประเทศ คือ ฮ่องกง จีน สิงคโปร์ มาเลเซีย และดูไบ ซึ่งประเทศแรกที่จะไปคือ ฮ่องกงราวต้นเดือน ก.ย.คาดว่าจะปิดการขายโครงการได้ทั้งหมดภายในปีนี้ ส่วนโครงการในอนาคตที่จะให้ PRIME เป็นตัวแทนขายนั้น ยังไม่ได้วางแผนไว้ในขณะนี้ แต่จะขอพิจารณาผลของโครงการแรกก่อน

น.ส.วิษณี กล่าวว่า โครงการอัพ เอกมัย คอนโดมีเนียม ปัจจุบันบริษัทมียอดขายแล้ว 50% ของมูลค่าโครงการ 2,400 ล้านบาท เหลือขายอีก 1,200 ล้านบาท ซึ่งได้ชะลอการขายไปในช่วงก่อนหน้านี้ เนื่องจากบริษัทได้เริ่มเจรจาตกลงกับกลุ่มเมอเวนพิคที่เป็นพันธมิตรต่างประเทศให้เข้ามาบริหารโครงการ ซึ่งการที่กลุ่มเมอเวนพิคเข้ามาทำให้ปรับกลยุทธ์การขายไปเน้นที่นักลงทุนต่างประเทศเป็นหลัก

"NUSA เคยร่วมงานกับ PRIME มาก่อนแล้ว ที่เราไว้ใจให้ PRIME เป็นตัวแทนขาย จำนวน 2 โครงการ เพราะเราเห็นโครงการแรก สเตรท ทาวเวอร์ ที่ไปขายที่กัวลาลัมเปอร์ โดยจัดเป็นไพเวทอีเวนท์ เพียง 5 ชั่วโมง สร้างยอดขายได้แล้ว 100 ล้านบาท เรามีไว้ใจ เพราะ PRIME มีออฟฟิศอยู่ทั่วโลก มี view จากรอบๆ รู้ staus ตลาดว่าควรเอาโปรเจกต์นี้ไปขายที่ไหนก่อน ตลาดประเทศไหนมีดีมานด์ช่วงนี้ ซึ่งกระแสตอบรับโครงการสเตรท ทาวเวอร์ ค่อนข้างดี ทำให้ต้นเดือน ส.ค.บริษัทจึงได้เซ็นโครงการคอนโดมิเนียม อัพ เอกมัย ซึ่ง PRIME จะจัดเป็น exclusive เฉพาะลูกค้าต่างประเทศ"น.ส.วิษณี กล่าว

ทั้งนี้ น.ส.วิษณี มองภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ครึ่งปีหลังในไทยยังเป็นที่สนใจอยู่ ดีมานด์ยังมีอยู่รวมทั้งยังเป็นที่ต้องการของประเทศเพื่อนบ้าน รวมทั้งประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) ที่จะเข้ามาด้วย

นายจัสติน ชิว ผู้ก่อตั้งและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไพรม อินเตอร์เนชั่นแนล พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด เปิดเผยว่า การขยายสาขาเข้ามาในประเทศไทย เนื่องจากบริษัทมีความเชื่อมั่นต่อการขยายตัวของตลาดอสังหาริมทรัพย์ที่มีแนวโน้มเติบโตได้อีกมาก มีผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่มีความเชี่ยวชาญผลิตโครงการคุณภาพเป็นที่ต้องการของตลาดในระดับนานาชาติออกมาอย่างต่อเนื่อง

ขณะที่กลุ่มลูกค้าระดับบนในประเทศไทยมีกำลังซื้อสูง มีความสนใจลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ต่างประเทศ หรือครอบครัวที่ส่งลูกหลานไปเรียนต่างประเทศ อาทิ ประเทศอังกฤษ ประเทศออสเตรเลีย ประเทศอเมริกา และเซี่ยงไฮ้ ก็ถือเป็นอีกกลุ่มลูกค้าที่มีโอกาสใช้บริการเลือกหาการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์จากบริษัทได้เช่นกัน

นอกจากนี้ ในระยะยาวหากมีโครงการเชื่อมโยงเส้นทางรถไฟสายสิงคโปร์-คุนหมิง ซึ่งไทยถือเป็นศูนย์กลางของเส้นทางรถไฟสายนี้ ส่งผลให้ประเทศไทยมีโอกาสการเติบโตทางเศรษฐกิจได้อีกมาก บริษัทได้มองเห็นถึงโอกาสดังกล่าว จึงได้เข้ามาเปิดสาขาในประเทศไทย โดยเริ่มจากการเป็นศูนย์กลางในการซื้อขายโครงการระหว่างประเทศ

"เหตุผลหลักที่บริษัทเลือกมาเปิดสาขาที่กรุงเทพ เพราะมองว่ากรุงเทพเป็นเมืองที่น่าลงทุนอันดับหนึ่งของเอเซีย ด้วยจำนวนประชากร และกำลังซื้อ เราเชื่อว่าการขยายสาขามาประเทศไทยช่วงนี้เป็นเวลาที่เหมาะสมในการขยายฐานลูกค้าที่เป็นผู้พัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ และการให้บริการหลังการขายกับลูกค้าที่เป็น End User ให้ดีกว่าเดิม อีกทั้งกลุ่มลูกค้าในต่างประเทศของเราก็มีความสนใจลงทุนในไทยเป็นอย่างมากเช่นกัน"นายจัสติน กล่าว

ทั้งนี้ บริษัทมีความมั่นใจว่าธุรกิจในประเทศไทยจะมีการเติบโตเป็นอย่างมากในอนาคต ปัจจุบัน PRIME International Property Thailand ได้เซ็นต์สัญญากับ NUSA เข้ามาเป็นลูกค้ารายแรก อีกทั้งบริษัทมีพันธมิตรในประเทศไทยแล้วจำนวน 7 ราย ซึ่งบริษัทมีแผนจะเพิ่มพันธมิตรในประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง และยังมีแผนจะขยายสาขาไปสู่หัวเมืองใหญ่ เช่น ภูเก็ตและพัทยา เป็นต้น

ส่วนกลยุทธ์การทำตลาดบริษัทจะเน้นการให้บริการที่ครบวงจรทั้งการเป็นตัวแทนการซื้อขายและให้เช่า รวมไปถึงให้คำปรึกษาเกี่ยวกับการลงทุนในต่างประเทศกับลูกค้าอย่างมีประสิทธิภาพ สร้างความแตกต่างด้วยการนำเสนอโครงการที่หลากหลายจากจากทั่วทุกมุมโลก ปัจจุบันบริษัทได้ร่วมบริหารโครงการกับบริษัทพันธมิตรมาแล้วจำนวน 62 ราย และบริหารโครงการมาแล้ว 131 โครงการ มูลค่าสินทรัพย์ร่วมบริหารอยู่ประมาณ 140,000 ล้านบาท อาทิ Mah Sing Group ประเทศมาเลเซีย, Guocoland ประเทศสิงคโปร์, แชงกริลากรุ๊ป ประเทศฟิลิปปินส์, Mirvac ประเทศออสเตรเลีย และ Damac ที่ดูไบ พร้อมตั้งเป้าพอร์ตในมือเพิ่มมูลค่า 1,500 ล้านบาทในปีนี้

บริษัทดำเนินธุรกิจบูทีคเอเจนซี่ ที่ปรึกษาด้านอสังหาริมทรัพย์ที่ให้บริการแบบครบวงจร โดยให้บริการด้านการเป็นตัวแทนในการซื้อขายและให้เช่าอสังหาริมทรัพย์ทุกประเภท และให้บริการด้านการให้คำปรึกษาในการวางแผนโปรเจ็ค การพัฒนาการขายนอกเหนือจากที่ได้วางแผนไว้ พร้อมให้คำปรึกษาในการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ต่างประเทศ การลงทุนในอสังหาริมทรัพย์เชิงไฟแนนซ์ และการขายอสังหาริมทรัพย์มือสอง ด้วยมาตรฐานระดับสากล ซึ่งมีสำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ที่กัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย และมีสาขาในประเทศ อังกฤษ ดูไบ ฮ่องกง จีน สิงคโปร์ และในอนาคตมองว่าจะขยายสาขาไปที่ประเทศกัมพูชา ไต้หวัน และ กลุ่มประเทศตะวันออกกลาง

นอกเหนือจากการตอบสนองความต้องการด้านอสังหาริมทรัพย์แล้ว บริษัทสามารถให้ความรู้และวิธีการเกี่ยวกับการลงทุนในตลาดต่างประเทศ รวมไปถึงมีบริการเสริมในเรื่องกฎหมาย การเงิน และหน่วยงานอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องในภาคอสังหาริมทรัพย์เพื่อให้บริการลูกค้าแบบครบวงจร


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ