นายวิน อุดมรัชตวนิชย์ ประธานกรรมการบริหาร บล.เคทีบี (ประเทศไทย) (KTBST) เปิดเผยว่า การลงประชามติรับร่างรัฐธรรมนูญในวันอาทิตย์ที่ 7 ส.ค.นี้ ตลาดจะจับตามองแต่ถือว่าเป็นการลงประชามติเป็นการทำให้เกิดความชัดเจนอย่างในทางการเมือง ซึ่งไม่ว่าผลการลงประชามติจะออกมาเป็นอย่างไรจะรับร่างหรือไม่รับก็ตาม เรามองว่าจะไม่ส่งผลให้ตลาดหุ้นขึ้นหรือลงอย่างมีนัยสำคัญ และทำให้ตลาดเกิดมีทิศทางที่ชัดเจนในสัปดาห์ถัดไป (8-12 ส.ค.)
ทั้งนี้ แม้ว่าตลาดจะมีความชัดเจนแล้วหลังทราบผลการลงประชามติ แต่อย่างไรก็ตาม ยังต้องรอดูปัจจัยพื้นฐานนั่นคือตัวเลขผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนถ้าตัวเลขที่ออกมาไม่ได้สนับสนุนตลาดมาก ดัชนีตลาดก็จะเคลื่อนไหวอยู่ที่ระดับ 1,480-1,550 จุด ดังนั้น นักลงทุนต้องจับตามองเรื่องตัวเลขของบริษัทจดทะเบียนกล่าวด้วย
ขณะเดียวกันอีกเรื่องที่ต้องจับตาดูคือราคาน้ำมัน เพราะเป็นปัจจัยหลักต่อทิศทางของตลาดหุ้นไทย ดังนั้นถ้าราคาน้ำมันยังไม่ปรับตัวเพิ่มขึ้นก็อาจส่งผลให้ตลาดปรับตัวลงได้ แต่หากราคาน้ำมันดีดตัวกลับขึ้นไปที่ระดับ 40-45 เหรียญฯ ดัชนีตลาดอาจปรับตัวขึ้นมาทดสอบที่ระดับ 1,520-1,550 ได้
"มองว่าราคาน้ำมันยังน่าจะรีบาวน์กลับมาได้ ดังนั้น KTBST จึงแนะนำให้นักลงทุนเข้าซื้อได้ในหุ้นกลุ่มน้ำมันทั้ง PTT และ PTTEP รวมไปถึงเก็บหุ้นกลุ่มที่มีการจ่ายเงินปันผลสูงอย่าง INTUCH และจากการที่อัตราดอกเบี้ยต่ำในปัจจุบัน จึงแนะนำให้เน้นลงทุนในกลุ่มอสังหาฯริมทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนสูงกว่าอัตาดอกเบี้ยเงินฝาก LPN"ดร.วินกล่าว
นายชาตรี โรจนอาภา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายกลยุทธ์และพัฒนาผลิตภัณฑ์ KTBST เปิดเผยว่า ตลาดหุ้นทั่วโลกปรับตัวลดลงแรงจากแรงเทขายทำกำไรหลังปรับตัวขึ้นมาอย่างเนื่องจนระดับราคาขึ้นไปอยู่ในระดับที่ค่อนข้างแพงเมื่อเทียบกับอดีต โดยหุ้นในกลุ่มธนาคารในยุโรปหลังมีข่าว Commerzbank และ UniCredit พิจารณาเพิ่มทุน และหุ้นในกลุ่มพลังงานที่ปรับตัวลงตามราคาน้ำมันที่ปิดระดับต่ำกว่า 40 เหรียญต่อบาเรล นอกจากนี้ค่าเงินเย็นที่แข็งขึ้นสู่ระดับ 101.6 เยนต่อดอลลาร์แข็งค่าขึ้นไปอยู่ในระดับใกล้เคียงกับช่วงหลังผลโหวต BREXIT กดดันตลาดหุ้นญี่ปุ่นให้ปิดตัวในแดนลบ
ทั้งนี้ จากการที่ญี่ปุ่นแถลงรายละเอียดนโยบายการคลังเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจมูลค่า 28 ล้านล้านเยน โดย 7.5 ล้านล้านเยนเป็นนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจที่จะเริ่มในปีนี้ 6 ล้านล้านเยนเป็นเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำ 3.4 ล้านล้านเยนเป็นโครงสร้างพื้นฐาน 1.3 ล้านล้านเยนเป็นเงินสำรองเพื่อรับมือ BREXIT และ 2.7 ล้านล้านเยนเพื่อบรรเทาภัยพิบัติทางธรรมชาติ อย่างไรก็ตามเม็ดเงินลงทุนที่จะลงไปในเศรษฐกิจจริงในปีงบประมาณนี้มีเพียง 4.6 ล้านล้านเยนเท่านั้น รายละเอียดมาตรการดังกล่าวไม่สามารถสร้างความเชื่อมั่นให้นักลงทุนได้ ขณะที่ธนาคารกลางออสเตรเลียปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลด 0.25% เหลือ 1.50% ต่ำที่สุดในประวัติศาสตร์ออสเตรเรียโดยให้เหตุผลเรื่องเงินเฟ้อและการเติบโตของค่าจ้างที่อยู่ในระดับต่ำเป็นประวัติการณ์
"KTBST ยังแนะนำให้ขายทำกำไรในหุ้นญี่ปุ่นจากนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจที่ยังไม่สามารถสร้างความเชื่อมั่นได้ และแนะนำเข้าซื้อตลาดหุ้นเอเชียอื่นๆ จากเม็ดเงินลงทุนที่ไหลมาในเอเชียเพิ่มเติม รวมถึงทยอยสะสมทองคำ เพื่อรองรับความผันผวนของตลาดหุ้นในระยะสั้น สำหรับนักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้ต่ำ KTBST ยังคงแนะนำให้สะสมกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์และโครงสร้างพื้นฐานและหุ้นกู้เอกชนไทย"นายชาตรีกล่าว