นายอธิคม เติบศิริ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.ไทยออยล์ (TOP) กล่าวว่า แผนการลงทุนของบริษัทจะเน้นการลงทุนในประเทศเป็นหลัก ทั้งการขยายกำลังการกลั่นน้ำมันเป็นระดับ 4 แสนบาร์เรล/วัน จาก 2.75 แสนบาร์เรล/วันในปัจจุบัน รวมถึงการสร้างมูลค่าเพิ่มผลิตภัณฑ์รองรับโครงการเขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ของรัฐบาล
ขณะที่บริษัทยุติแผนลงทุนในต่างประเทศ ทั้งการเข้าปรับปรุงโรงกลั่นน้ำมันขนาด 2 หมื่นบาร์เรล/วันในเมียนมา และโครงการร่วมทุนกับเปอร์ตามิน่าในการผลิต WAX ในอินโดนีเซียด้วย หลังผลการศึกษาพบว่าไม่คุ้มค่ากับการลงทุน แต่ก็ยังมองโอกาสที่จะเข้าไปลงทุนในเมียนมา ภายใต้ความร่วมมือระหว่างรัฐบาลไทยกับรัฐบาลเมียนมาในด้านพลังงาน ทั้งไฟฟ้า โรงกลั่นและปิโตรเคมี ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ซึ่งคงต้องรอความชัดเจนจากภาครัฐต่อไป
สำหรับแผนการลงทุนในประเทศนั้น บริษัทมีแผนลงทุนโครงการปรับปรุงหน่วยการกลั่นน้ำมันดิบเพิ่มกำลังการผลิต ภายใต้โครงการ Clean Fuel Project (CFP) โดยคาดว่าจะใช้เงินลงทุนประมาณ 3- 4 พันล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งจะมีการลงทุนเพิ่มประสิทธิภาพลองเรสซิดิว(long residue) เพื่อเปลี่ยนผลิตภัณฑ์น้ำมันเตาเป็นน้ำมันใส ได้แก่ น้ำมันดีเซลและน้ำมันอากาศยานที่มีราคาสูงกว่า และการขยายกำลังการกลั่นน้ำมันเป็น 4 แสนบาร์เรล/วัน จากปัจจุบัน 2.75 แสนบาร์เรล/วัน
ปัจจุบันอยู่ระหว่างการศึกษาการออกแบบด้านวิศวกรรม คาดว่าจะได้ข้อสรุปในกลางปี 60 โดยจะมีการศึกษาความเป็นไปได้ในโครงการอื่น ๆ เพิ่มเติมด้วย เช่น การนำผลพลอยได้จากส่วนขยายโรงกลั่นมาต่อยอดผลิตพาราไซลีน (PX) เป็นต้น ซึ่งการลงทุนภายในประเทศยังจะเป็นการรองรับโครงการ EEC ของรัฐบาลด้วย เพราะ จ.ชลบุรีอยู่ในพื้นที่ EEC ที่จะเป็นกลไกขับเคลื่อนเศรษฐกิจเพื่ออนาคต
นายอธิคม กล่าวอีกว่า การที่รัฐบาลจะยกเลิกการจำหน่ายแก๊สโซฮอล์ 91 ภายในปี 61 นั้น ทำให้บริษัทอาจต้องปรับระบบการกลั่นบ้างแต่เชื่อว่าไม่ต้องลงทุนเพิ่มมากนัก ขณะที่ราคาน้ำมันดิบดูไบ ที่ปัจจุบันปรับลดลงต่ำกว่า 40 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรลนั้น น่าจะเป็นแค่ช่วงสั้น โดยยังคาดราคาน้ำมันดิบเฉลี่ยในปีนี้จะอยู่ที่ระดับ 45-50 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล
นอกจากนี้ บริษัทยังมีแผนจะขยายกำลังการผลิตสาร LAB (Linear Alkyl Benzene) จากที่มีอยู่ 1 แสนตัน/ปีในปัจจุบัน หากความต้องการใช้ในภูมิภาคนี้เพิ่มสูงขึ้นด้วย ขณะที่ LAB เป็นวัตถุดิบสำคัญในอุตสาหกรรมการผลิตผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดและสารซักล้าง
อนึ่ง วันนี้ TOP ทำพิธีเปิดโรงงานผลิตสาร LAB และโรงไฟฟ้าขนาดเล็ก (SPP) จำนวน 2 โครงการ กำลังผลิตรวม 239 เมกะวัตต์อย่างเป็นทางการ โดยโครงการผลิตสาร LAB เป็นการร่วมทุนระหว่างกลุ่มไทยออยล์ กับบริษัท มิตซุย แอนด์คัมปนี จำกัด ประเทศญี่ปุ่น ภายใต้บริษัท ลาบิกซ์ จำกัด ใช้เงินลงทุน 1.2 หมื่นล้านบาท กำลังการผลิต 1 แสนตัน/ปี โดยโครงการ LAB จะช่วยสนับสนุนกำไรขั้นต้นจากการผลิตของกลุ่ม (GIM) เพิ่มขึ้น 0.40 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล
ปัจจุบันโครงการผลิต LAB เดินเครื่องจักรเต็มกำลังการผลิต เนื่องจากความต้องการใช้สาร LAB เติบโตในภูมิภาคนี้ โดยปีนี้บริษัทวางเป้าหมายจำหน่ายในประเทศ 20-25% ของกำลังการผลิต ส่วนที่เหลือส่งออกไปในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และอินเดีย