นางเกษรา ธัญลักษณ์ภาคย์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.เสนาดีเวลลอปเม้นท์ (SENA) กล่าวว่า บริษัทลดจำนวนโครงการที่อยู่อาศัยเปิดใหม่ในปีนี้เหลือ 7 โครงการ จากเดิมที่จะเปิดทั้งหมด 9 โครงการ โดยจะเลื่อน 2 โครงการใหม่ไปเปิดในปี 60 เนื่องจากหนึ่งในสองโครงการมีการปรับเปลี่ยนรูปแบบการพัฒนาโครงการใหม่ และมองแนวโน้มมูลค่าที่ดินของทั้ง 2 โครงการจะเพิ่มขึ้นมาก ส่งผลให้บริษัทสามารถพัฒนาโครงการที่มีมูลค่าสูงมากขึ้น และให้ผลตอบแทนที่ดีต่อบริษัทกลับมา
สำหรับ 2 โครงการที่ได้เลื่อนการเปิดออกไปเป็นปีหน้า คือ โครงการทาวน์เฮาส์ในทำเลย่านรามอินทรา กม.9 มูลค่า 200 ล้านบาท บริษัทได้ปรับเปลี่ยนรูปแบบการพัฒนาเป็นโครงการคอนโดมิเนียม 5-6 ชั้น อีกทั้งทำเลดังกล่าวแนวโน้มมูลค่าที่ดินจะเพิ่มขึ้นในปีหน้า ทำให้การพัฒนาโครงการดังกล่าวจะมีมูลค่าเพิ่มขึ้นมากกว่า 200 ล้านบาท และโครงการบ้านเดี่ยวที่พัทยา แนวโน้มของมูลค่าที่ดินในปัจจุบันเริ่มทยอยปรับตัวสูงขึ้น จึงเป็นช่วงจังหวะที่ดีที่บริษัทจะเปิดโครงการในมูลค่าที่สูงขึ้นและได้รับผลตอบแทนที่ดี
การเลื่อนเปิด 2 โครงการดังกล่าว ทำให้ในปีนี้บริษัทมีจำนวนโครงการใหม่ที่เปิดใหม่เพียง 7 โครงการ มูลค่ารวม 4.7 พันล้านบาท โดยครึ่งปีแรกเปิดโครงการแนวราบใหม่ทั้งหมดไปแล้ว 2 โครงการ มูลค่ารวม 2 พันล้านบาท ส่วน 5 โครงการที่เหลือ มูลค่ารวม 2.7 พันล้านบาทนั้นจะเปิดในช่วงครึ่งปีหลัง ทั้งหมดเป็นคอนโดมิเนียม โดยในเดือนก.ค.ได้เปิดขายโครงการคอนโดมิเนียม 1 โครงการ คือ โครงการ The Kith Plus สุขุมวิท 113 เฟส 1 มูลค่า 550 ล้านบาท จำนวน 425 ยูนิต ซึ่งล่าสุดทำยอดขายได้ 70% ของยูนิตทั้งหมด
ปัจจุบัน บริษัทมียอดขายแล้ว 2.7 พันล้านบาท จากเป้าหมายทั้งที่ตั้งไว้ 4.5 พันล้านบาท คาดว่ายอดขายจะเป็นไปตามเป้าที่ตั้งไว้ แม้ว่าการแข่งขันในตลาดคอนโดมิเนียมจะรุนแรงขึ้น เนื่องจากผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์รายอื่น ๆ ต่างก็เปิดตัวโครงการเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะโครงการคอนโดมิเนียม ขณะที่ยังต้องติดตามแนวโน้มของเศรษฐกิจไทยว่าจะดีขึ้นจริงหรือไม่ เนื่องจากที่ผ่านมาข้อมูลทางเศรษฐกิจต่าง ๆ ที่ออกมาปรับเพิ่มขึ้นเพียงเล็กน้อย ซึ่งยังไม่สะท้อนภาพการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยได้อย่างชัดเจน
อย่างไรก็ตามยังมีความต้องการที่อยู่อาศัยจำนวนมาก จาก 3 ปัจจัย ได่แก่ การอพยพย้ายถิ่นฐาน โดยเฉพาะการย้ายเข้ามาอยู่ในเมือง , การซื้อที่อยู่อาศัยเพื่อการลงทุนและการปล่อยเช่า และแนวโน้มการอยู่อาศัยยุคใหม่ที่คนนิยมพักอาศัยเพียงคนเดียวเพิ่มขึ้น ส่งผลให้ความต้องการที่อยู่อาศัยเพิ่มขึ้นอย่างมาก และจะทำให้ภาคอสังหาริมทรัพย์ไทยมีการเติบโต
ขณะเดียวกันด้านการกู้ยืมสินเชื่อในปัจจุบัน ธนาคารพาณิชย์ยังคงเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อค่อนข้างมาก โดยเฉพาะที่อยู่อาศัยราคาระดับล่าง ที่มีอัตราการปฏิเสธสินเชื่อในระดับสูง ซึ่งปัจจุบันอัตราการปฏิเสธสินเชื่อของบริษัทยังอยู่ในระดับที่ 15-20%
ส่วนรายได้ของบริษัทในปีนี้ยังมั่นใจทำได้ตามเป้าหมายที่ 3.5 พันล้านบาท จากมูลค่ายอดขายรอโอน (Backlog) ที่มีอยู่ 2.4 พันล้านบาท จะโอนในช่วงครึ่งหลังปีนี้ราว 1 พันล้านบาท ซึ่งจะช่วยผลักดันให้กำไรสุทธิในปีนี้ทำสถิติสูงสุดใหม่ นอกเหนือจากการรับรู้กำไรเพิ่มขึ้นจากการขายไฟฟ้าในโครงการโซลาร์ฟาร์มกำลังการผลิตรวม 46.5 เมกะวัตต์ ได้เต็มปีในปีนี้ปีแรก โดยจะมีกำไรจากการขายไฟฟ้าเข้ามาเฉลี่ยอยู่ที่ 50-60 ล้านบาท/ปี ขณะที่บริษัทยังคงเป้าหมายมีกำลังการผลิตไฟฟ้าที่ 100 เมกะวัตต์ในอีก 3 ปีข้างหน้า จากปัจจุบันที่มีอยู่ 46.5 เมกะวัตต์ โดยจะหันไปเน้นการติดตั้งแผงโซลาร์รูฟท็อปแทน
ด้านงบซื้อที่ดินในปีนี้ที่ตั้งไว้ 1.2 พันล้านบาท บริษัทได้ใช้ไปแล้ว 700-800 ล้านบาท ซึ่งในช่วงครึ่งปีหลังบริษัทจะนำงบซื้อที่ดินที่เหลือไปซื้อที่ดินแปลงใหญ่มากขึ้น เพราะปัจจุบันราคาที่ดินมีการปรับตัวเพิ่มขึ้น ทำให้การซื้อที่ดินแปลงใหญ่จะช่วยให้สามารถพัฒนาโครงการที่มีจำนวนยูนิตมากขึ้นและมีมูลค่าโครงการที่สูงขึ้นได้ นอกจากนี้บริษัทได้เพิ่มงบการตลาดปีนี้เป็น 5% ของยอดขาย จากปีก่อนที่ 3% ของยอดขาย เพื่อใช้ในการสร้างแบรนด์ของ SENA ให้เป็นที่รู้จักมากขึ้น
นางเกษรา กล่าวว่า ด้านมุมมองต่อผลการทำประชามติร่างรัฐธรรมนูญไนวันที่ 7 ส.ค.นี้ เห็นว่าหากผลออกมารับหรือไม่รับร่างรัฐธรรมนูญจะไม่มีผลกระทบการขายอสังหาริมทรัพย์ให้กับคนในประเทศ และไม่กระทบธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ของไทย แต่อาจจะมีผลกระทบต่อความเชื่อมั่นและการตัดสินใจซื้อของลูกค้าต่างชาติที่กำลังมองหาซื้ออสังหาริมทรัพย์ไนประเทศไทยมากกว่า ซึ่งหากผลออกมารับร่างรัฐธรรมนูญลูกค้าชาวต่างชาติจะมีความมั่นใจเพิ่มขึ้น และส่งผลต่อการตัดสินใจซื้ออสังหาริมาทรัพย์ในไทย แต่หากผลออกมาว่าไม่รับร่างฯ มองว่าลูกค้าต่างชาติจะชะลอการตัดสินใจซื้อ เพราะยังไม่มั่นใจสถานการณ์ในไทย