นายจุมพล สายมาลา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บลจ.ซีไอเอ็มบี-พรินซิเพิล เปิดเผยว่า บริษัทได้รับอนุมัติเพิ่มทุนจากสำนักงาน คณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (สำนักงาน ก.ล.ต.) ให้เพิ่มทุนกองทุนเปิดซีไอเอ็มบี-พรินซิเพิลสตราทีจิค อินคัม ฟันด์ (CIMB-Principal Strategic Income Fund: CIMB-PRINCIPAL SIF) เป็น 10,000 ล้านบาท เนื่องจากกองทุนมีขนาดเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง นับตั้งแต่ที่จัดตั้งกองทุนในช่วงกลางเดือนพฤษภาคม
กองทุนเปิดซีไอเอ็มบี-พรินซิเพิล สตราทีจิค อินคัม ฟันด์ (CIMB-PRINCIPAL SIF) ในช่วงที่ผ่านมาสามารถสร้างผลตอบแทนได้เหมาะสม จุดเด่นของกองทุนนี้คือ เน้นกลยุทธ์การจัดสรรพอร์ตการลงทุนเพื่อสร้างผลตอบแทน ด้วยการผสมผสานการลงทุนใน “ตราสารหนี้คุณภาพ" ที่มีความมั่นคง กับ “กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์หรือทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์" คุณภาพดีและมีรายรับประจำสม่ำเสมอ การบริหารพอร์ตการลงทุนในเชิง Active Management ด้วยการประเมินปรับน้ำหนักสัดส่วนการลงทุนอยู่อย่างต่อเนื่องให้เหมาะสมตามสภาวะตลาดที่เปลี่ยนแปลงไป เพื่อแสวงหาอัตราผลตอบแทนที่ดี เพื่อให้ได้พอร์ตแบบ Income Return ทำให้กองทุนมีโอกาสสร้างผลตอบแทนที่สม่ำเสมอในระยะยาว
แม้ว่าในช่วงที่ผ่านมาตลาดหุ้นไทยรวมถึงตลาดหุ้นในกลุ่มอีเมอร์จิ้งมาร์เก็ตมีการปรับตัวเพิ่มขึ้นจากกระแสเงินลงทุนของนักลงทุนต่างชาติด้วยเหตุผลการคลายความกังวลต่อสถานการณ์ที่อังกฤษจะแยกตัวจากสหภาพยุโรป (BREXIT) ทำให้นักลงทุนสถาบันเลือกที่จะมาลงทุนในกลุ่มอีเมอร์จิ้งมาร์เก็ตแทน แต่ในอนาคตก็มีโอกาสที่เงินลงทุนเหล่านี้จะขายทำกำไรซึ่งอาจทำให้ตลาดหุ้นมีความผันผวนได้ ในขณะที่ความกังวลต่อการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลกยังคงเป็นปัจจัยหลักที่บั่นทอนในด้านการลงทุนต่อเนื่องในปีนี้ ซึ่งทำให้ธนาคารกลางหลัก ๆ ของโลกกลับมาดำเนินนโยบายสอดคล้องไปในทางเดียวกันอีกครั้ง คือ การใช้นโยบายเชิงผ่อนคลายต่อเนื่องทั้งด้านการคงอัตราดอกเบี้ยต่ำและการขยายระยะเวลาและมีโอกาสการเพิ่มวงเงินตามมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติม
โดยเมื่อวันที่ 4 สิงหาคม 2559 ผู้ว่าการธนาคารกลางอังกฤษประกาศปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง 0.25% และเพิ่มวงเงินในโครงการซื้อพันธบัตรตามนโยบายเชิงผ่อนคลายเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจภายในประเทศและรองรับผลกระทบจาก BREXIT
สำหรับในประเทศไทยเมื่อวันที่ 3 สิงหาคมที่ผ่านมา คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ประกาศคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายอยู่ที่ระดับ 1.50% ต่อปี และคาดว่าจะทรงตัวอยู่ต่อไปอีกระยะหนึ่ง มองว่าภายใต้ภาวะความไม่แน่นอนของการลงทุนจะส่งผลทำให้ความต้องการลงทุนในตราสารหนี้ระยะกลางถึงยาว และการลงทุนในกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์/REITs ของนักลงทุนสถาบันจะมีเพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะผลตอบแทนที่มาจากกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์นั้นเป็นผลตอบแทนที่เป็นรายได้มากกว่าดอกเบี้ย และราคาไม่ผันผวนมากนัก โดยผลตอบแทนโดยรวมหรืออัตราเงินปันผลของ REITs สิงคโปร์อยู่ประมาณ 6.4% กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ไทยอยู่ที่ 6.1%
“เรามองว่าเป็นโอกาสที่ดีสำหรับการสร้างผลตอบแทนของพอร์ตการลงทุนกองทุน CIMB-PRINCIPAL SIF ซึ่งมีสัดส่วนการลงทุนในกลุ่มกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์และ REITs ในขณะที่การลงทุนส่วนตราสารหนี้จะเน้นกลยุทธ์ Enhanced Strategy ด้วยการเลือกลงทุนตราสารระยะกลาง-ระยะยาวเพื่อเพิ่มผลตอบแทน เราเชื่อว่ากองทุน CIMB-PRINCIPAL SIF จะสามารถสร้างผลตอบแทนที่เหมาะสมได้อย่างต่อเนื่องจากแบบจำลอง Model Portfolio ที่เราได้ทำการทดสอบไว้เราคาดว่าจะสามารถสร้างผลตอบแทนจะอยู่ที่ประมาณ 3.5%-4.5% ต่อปี ซึ่งกองทุนนี้สามารถตอบโจทย์ผู้ลงทุนที่ต้องการแสวงหาโอกาสของการลงทุนที่ให้ผลตอบแทนที่ดีกว่าการฝากเงินเพียงอย่างเดียวในระดับความเสี่ยงที่ไม่สูงนัก เราเชื่อว่ากองทุนนี้จะเป็นอีกหนึ่งกองทุนที่จะสามารถสร้างผลตอบแทน Income Return ที่เหมาะสมให้กับนักลงทุน" นายจุมพล กล่าว