นายชาตรี จันทรงาม ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายควบคุมการเงินและบริหารความเสี่ยง บมจ.ทิสโก้ไฟแนนเชียลกรุ๊ป (TISCO) คาดว่าแนวโน้มกำไรสุทธิของธนาคารในปีนี้จะสูงกว่าปีก่อนที่ทำได้ 4.25 พันล้านบาท เป็นผลมาจากส่วนต่างอัตราดอกเบี้ย (NIM) ปรับตัวสูงขึ้น โดยในไตรมาส 2/59 NIM เพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 4.06% จากไตรมาส 1/59 อยู่ที่ 3.06%
ทั้งนี้ เนื่องจากพอร์ตสินเชื่อของธนาคารราว 70% เป็นสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์ ซึ่งมีอัตราดอกเบี้ยคงที่ ทำให้ธนาคารไม่ได้รับผลกระทบในเรื่องความผันผวนของอัตราดอกเบี้ยเมื่อเทียบกับการปล่อยสินเชื่อประเภทอื่น อีกทั้งธนาคารยังมีการบริหารต้นทุนทางการเงินที่ดีขึ้น เช่น การออกหุ้นกู้ระยะกลางที่มีต้นทุนต่ำกว่าการระดมเงินฝาก ส่งผลดีต่อการทำกำไรของธนาคารจากต้นทุนที่ลดลง
แม้ว่าสินเชื่อรวมของธนาคารในปีนี้คาดว่าจะติดลบเล็กน้อย หลังจากที่สินเชื่อในครึ่งปีแรกติดลบ 4% โดยแนวโน้มของสินเชื่อในครึ่งปีหลังคาดว่าจะดีขึ้นกว่าครึ่งปีแรก คาดว่าอาจจะไม่ขยายตัวแต่ก็ไม่ติดลบ เนื่องจากแนวโน้มการปล่อยสินเชื่อในไตรมาส 4/59 จะเป็นไตรมาสที่ดีที่สุด เพราะเป็นช่วงไฮซีซั่น ซึ่งจะได้รับปัจจัยบวกจากการขยายตัวของสินเชื่อเช่าซื้อเป็นหลัก โดยช่วงไตรมาสสุดท้ายของทุกปีจะมีประชาชนที่สนใจซื้อรถคันใหม่เป็นจำนวนมาก ทำให้สินเชื่อเช่าซื้อมีโอกาสกลับมาฟื้นตัวขึ้นได้ดี
อย่างไรก็ตาม ธนาคารมองว่าภาพรวมของสินเชื่อในปีหน้ามีโอกาสกลับมาฟื้นตัวขึ้น หรือเป็นบวกได้เล็กน้อย หลังจากผลกระทบจากนโยบายรถคันแรกเริ่มคลี่คลายลง โดยธนาคารมองว่าปีหน้าความต้องการซื้อรถยนต์คันใหม่จะเริ่มกลับมาบางส่วนและสนับสนุนให้สินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์พลิกกลับมาขยายตัวเมื่อเทียบกับปีนี้ที่ติดลบ
ส่วนสินเชื่อธุรกิจขนาดใหญ่ยังคงมีการเติบโตได้ดีจากการลงทุนของภาครัฐ และความมั่นใจหลังจากประชาชนมีการรับร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ทำให้ภาคเอกชนเริ่มเดินหน้าการลงทุนอย่างจริงจัง แต่สินเชื่อธุรกิจเอสเอ็มอี ยังถูกแรงกดดันจากความไม่มั่นใจของภาวะเศรษฐกิจไทยที่ยังไม่ฟื้นตัวดีขึ้น ซึ่งส่งผลให้ผู้ประกอบการธุรกิจเอสเอ็มอีชะลอความตั้องการใช้สินเชื่อต่อไป
ขณะที่การตั้งสำรองของธนาคารในช่วงครึ่งปีหลัง คาดว่ามีแนวโน้มลดลงตามสัดส่วนหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) ที่ธนาคารคาดว่า NPL ในไตรมาส 3/59 และไตรมาส 4/59 จะปรับตัวลดลงเล็กน้อย จากสิ้น มิ.ย.ที่ 3.1% โดยธนาคารตั้งเป้าคุม NPL ในสิ้นปีนี้ให้ไม่เกิน 3% จากปีก่อนอยู่ที่ 3.2% โดยแนวโน้ม NPL โดยธนาคารคาดว่าการตั้งสำรองในช่วงครึ่งปีหลังคาดว่าจะลดลงหรือใกล้เคียงกับครึ่งปีแรกที่ตั้งสำรองไตรมาสละ 900 ล้านบาท
ส่วนความคืบหน้ากระบวนการปรับโครงสร้างหนี้ของ บมจ.สหวิริยาสตีลอินดัสตรี (SSI) ปัจจุบันอยู่ระหว่างการทำแผนงานให้แล้วเสร็จคาดว่าแผนงานดังกล่าวจะเสร็จอย่างเร็วที่สุดภายในปลายปีนี้หรืออย่างช้าต้นปีหน้า หากแผนดังกล่าวเสร็จแล้วจะส่งให้ศาลพิจารณาและเดินหน้าตามแผนงานต่อไป ซึ่งกระบวนการปรับโครงสร้างหนี้ของ SSI ที่มีมูลหนี้กับธนาคารอยู่ที่ 4.3 พันล้านบาท คาดว่าจะใช้วิธียืดระยะเวลาชำระหนี้และลดดอกเบี้ย หรือการยกเว้นการคิดดอกเบี้ยในบางปี
นายชาตรี กล่าวถึงผลกระทบของระบบ “พร้อมเพย์"ว่า รายได้จากค่าธรรมเนียมส่วนใหญ่ของธนาคารมาจากการให้บริการเป็นนายหน้าขายประกัน (Bank assurance) ซึ่งไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกับเรื่องดังกล่าว อีกทั้งรายได้จากการทำธุรกรรมระหว่างธนาคารมีสัดส่วนที่น้อยมาก แต่อย่างไรก็ตาม ธนาคารเชื่อว่าบริการพร้อมเพย์จะช่วยให้ลูกค้าใช้บริการดิจิทัลแบงก์กิ้งที่มีการคิดค่าบริการที่ถูกกว่าเดิมอย่างมาก และทำให้การเปิดสาขาของธนาคารมีจำนวนลดลง