หุ้น TOP ราคาขยับขึ้น 2.01% มาอยู่ที่ 63.50 บาท เพิ่มขึ้น 1.25 บาท มูลค่าซื้อขาย 160.25 ล้านบาท เมื่อเวลา 10.07 น. โดยเปิดตลาดที่ 62.75 บาท ราคาปรับตัวขึ้นสูงสุดที่ 63.50 บาท และราคาปรับตัวลงต่ำสุดที่ 62.75 บาท
บล.แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ แนะ"ซื้อ"หุ้น บมจ.ไทยออยล์ (TOP) สำหรับการลงทุนระยะยาวและรับปันผล เนื่องจากยังมีมุมมองเป็นบวกต่อ TOP ที่จะได้มูลค่าเพิ่มจาก 2 โครงการใหม่ ได้แก่ โรงไฟฟ้า TOP SPP (กำลังผลิตไฟฟ้า 239 MW, ไอน้ำ 498 ตัน/ชม.) และโครงการ LABIX ที่คาดหวังจะช่วยเพิ่ม GIM ราว $0.4-0.6/บาร์เรล (Q2/59 ทำได้ $0.3/บาร์เรล)
อย่างไรก็ตาม ค่าการกลั่นปัจจุบันและกำไร Q3/59 ที่คาดว่าอ่อนตัว ทำให้ขาดปัจจัยหนุนราคาหุ้นในระยะสั้น สำหรับราคาเป้าหมายของ TOP ได้ปรับไปใช้ราคาเป้าหมายปี 60 ที่ 79 บาท
ขณะที่ TOP รายงานกำไรสุทธิ Q2/59 ที่ 7,753 ล้านบาท(+24%YoY, +64%QoQ) และกำไร H1/59 เท่ากับ 12,479 ล้านบาท เพิ่มขึ้น +16%HoH โดยกำไร Q2/59 ออกมาดีกว่าที่คาดไว้ (7.59 พันล้านบาท) โดยกำไรที่เพิ่มขึ้น QoQ สาเหตุหลักมาจากกำไรสต็อกน้ำมัน(รวม NRV) จำนวน 4,362 ล้านบาท ตามราคาน้ำมันดิบดูไบเฉลี่ยที่ปรับเพิ่มขึ้น $12.6/บาร์เรลใน Q2/59 ทั้งนี้ กำไรสต็อกอยู่ที่ 4,106 ล้านบาท ($4.2/บาร์เรล) ดีขึ้นจากขาดทุนสต็อก -$1/บาร์เรลใน Q1/59
และยังรับรู้ส่วนแบ่งกำไรของบริษัทในกลุ่มเพิ่มเป็น 615 ล้านบาท (+18%QoQ) หลัก ๆ มาจากโรงไฟฟ้า SPP ใหม่ (กำลังผลิต 239 MW, TOP ถือหุ้น 99.99%) ที่เริ่มทยอยผลิต โดยหน่วยที่ 1 : ผลิต เม.ย.59, หน่วยที่ 2 : มิ.ย.59
กำไร H1/59 ที่ 12,479 ลบ. คิดเป็น 71% ของประมาณการกำไรทั้งปี 59 แต่เนื่องจากกำไรมีแนวโน้มชะลอตัว HoH ตามค่าการกลั่น H2/59 ที่อ่อนตัว ซึ่งปัจจุบันค่าการกลั่น (ตลาดสิงค์โปร์) ลดลงเหลือ $4.25/บาร์เรล (3QTD=$4.7) รวมทั้งยังอาจขาดทุนจากสต็อกน้ำมันใน Q3/59 ทำให้ยังคงกำไรปีนี้ตามเดิม
ส่วนปี 60 คาดกำไรจะเพิ่มขึ้นเป็น 17,969 ล้านบาท EPS=8.81 บาท (+2%YoY จากฐานสูงในปี 59)
พร้อมคาดบริษัทจะจ่ายปันผล H1/59 ที่ 1 บาท/หุ้น คิดเป็น Dividend Yield ประมาณ 1.6%