โบรกเกอร์เห็นพ้อง"ซื้อ"หุ้น บมจ.ซิโน-ไทย เอ็นจีเนียริ่งแอนด์คอนสตรัคชั่น (STEC) เป็น Domestic plays ขานรับการผลประชามติร่างรัฐธรรมนูญ ทำให้การเมืองมีเสถียรภาพมากขึ้น สนับสนุนให้ภาครัฐเดินหน้าโครงการต่าง ๆ ได้ ซึ่ง STEC มีโอกาสได้งานในเมกะโปรเจค โดยเฉพาะรถไฟฟ้าสายสีเหลือง-ชมพู-ส้ม-แดง-เขียวที่จับคู่กับ BTS รวมถึงรถไฟทางคู่ และมอเตอร์เวย์ ที่จะเริ่มทยอยประมูลช่วงครึ่งหลังปีนี้ และปีหน้าคาดว่าจะได้เห็นงานออกมามากขึ้นอีก
ขณะที่ฐานะการเงินของ STEC มีความแข็งแกร่งเป็น Net Cash คาดมีความได้เปรียบเมื่อเทียบกับคู่แข่ง ทั้งอำนาจในการต่อรองกับ Supplier และการเข้าประมูลงาน รวมทั้งมีประสิทธิภาพในการทำกำไรสูง มาร์จินธุรกิจก่อสร้างที่ STEC ทำได้ดีกว่า CK และ ITD ปัจจุบันงานในมือ (Backlog) ของ STEC มีอยู่กว่า 50,000 ล้านบาท สามารถรองรับรายได้ในอีก 3 ปีข้างหน้า
พร้อมคาดการณ์กำไรปกติในปี 59 เพิ่มขึ้นเล็กน้อยถึงทรงตัวเมื่อเทียบกับกำไรปกติของปี 58 ส่วนกำไรสุทธิคาดว่าจะลดลงจากปี 58 เนื่องจากในปีก่อนมีรายการพิเศษจากการตีมูลค่าที่ดินใหม่ค่อนข้างมาก อย่างไรก็ดีในปี 60 คาดว่ากำไรสุทธิจะเติบโตสูงเมื่อเทียบกับปีนี้ เนื่องจากจะมีการตีมูลค่าที่ดินทุก ๆ 2 ปี ดังนั้น จึงมีโอกาสที่จะมีการปรับเพิ่มประมาณการและราคาเป้าหมายของ STEC อีกในอนาคต
โบรกเกอร์ คำแนะนำ ราคาเป้าหมาย (บาท/หุ้น) เคจีไอ (ประเทสไทย) ซื้อ 30.50 บัวหลวง ซื้อ 29.75 ไอร่า ซื้อ 29.00 เคทีบี (ประเทศไทย) ซื้อ 28.00 โนมูระ พัฒนสิน ซื้อ 26.75 ดีบีเอส วิคเคอร์ส ซื้อ 26.00 ++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++ นายสมบัติ เอกวรรณพัฒนา ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยหลักทรัพย์ บล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส (ประเทศไทย) หรือ DBSV กล่าวว่า STEC เป็น Domestic plays ซึ่งมีโอกาสที่จะได้งานในเมกะโปรเจคของภาครัฐฯ โดยเฉพาะรถไฟฟ้าสายสีเหลือง-ชมพูด้วย ที่มีเงื่อนไขการเข้าร่วมประมูล (PPP) จะลงทุนก่อสร้าง 4-5 ปี และให้สิทธิในการบริหาร 30 ปี โดยมองไปที่การจับคู่ของ BTS-STEC น่าจะได้เปรียบ นอกจากนี้ ยังมีโครงการรถไฟฟ้าสายสีต่าง ๆ ทั้งสายส้ม-แดง-เขียว รวมถึงรถไฟทางคู่ และมอเตอร์เวย์ ที่จะทยอยออกมาประมูลงานกัน โดยโปรเจ็คต์ต่าง ๆ คงจะทยอยออกมาเปิดประมูลในช่วงครึ่งหลังปีนี้ (H2/59) ทั้งนี้ งานในมือ (Backlog) ของ STEC ปัจจุบันมีอยู่กว่า 50,000 ล้านบาท พร้อมคาดการณ์กำไรปกติของปี 59 ไว้ที่ 1,094 ล้านบาท เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับกำไรปกติของปี 58 ที่มี 1,079 ล้านบาท โดยในปีก่อนบริษัทมีกำไรพิเศษอยู่มากทำให้มีการบันทึกกำไรสุทธิที่ออกมาดี แต่ในปี 60 มองว่า STEC มีโอกาสที่กำไรปกติจะเติบโตถึง 21% มาอยู่ที่ 1,320 ล้านบาท เนื่องจากการประมูลงานของภาครัฐฯได้เริ่มในครึ่งหลังปีนี้ (H2/59) แต่ปีหน้าจะได้เห็นงานออกมามากขึ้นอีก ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ DBSV กล่าวต่อว่า การลงประชามติร่างรัฐธรรมนูญผ่านทั้งสองข้อ โดยเฉพาะการผ่านมติในข้อที่ 2 ที่การเลือกนายกรัฐมนตรีจะมาจาก ส.ว.และ ส.ส. นั้น ตรงนี้ทำให้การเมืองมีความมั่นคงมากขึ้น จึงไม่แปลกใจที่หุ้นในกลุ่มรับเหมาก่อสร้างจะกลับมาคึกคัก เนื่องจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ไม่จำเป็นต้นเป็นคนเก่า ๆ และไม่จำเป็นจะต้องเป็นคนที่มีเสียงข้างมากในการเลือกตั้ง อาจเป็นคนใหม่ก็ได้ ตรงนี้ทำให้การเมืองมีโอกาสยุ่งน้อยลง และมีเสถียรภาพไปอีกนาน ด้านนายอำนาจ โงสว่าง ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.เคทีบี (ประเทศไทย) แนะนำ"ซื้อ"หุ้น STEC เนื่องจาก STEC มีความได้เปรียบที่ทำธุรกิจก่อสร้างแต่เพียงอย่างเดียว ขณะที่คู่แข่งอย่าง CK ก็มีการลงทุนธุรกิจไฟฟ้าด้วย ส่วน ITD ก็มีการลงทุนเหมืองโปรแตซ ทั้งนี้ มองว่าตลาดฯเริ่มหันมาเล่น Demestic plays ในส่วนของการลงทุนภาครัฐฯก็มีมากขึ้น ทั้งรถไฟฟ้าสายสีต่าง ๆ, มอเตอร์เวย์ และรถไฟทางคู่ เป็นต้น นอกจากนี้ ฐานะการเงินของ STEC มีความแข็งแกร่ง และมีประสิทธิภาพในการทำกำไรสูง มาร์จินในธุรกิจก่อสร้างที่ STEC ได้ก็ดีกว่าของ CK และ ITD ปัจจุบันมี Backlog สูงถึง 5.28 หมื่นล้านบาท (เมื่อสิ้นไตรมาส 1/59) ซึ่งสามารถรองรับรายได้ 3 ปีข้างหน้า ทั้งนี้ ปีนี้จะเห็นได้ว่ากำไรสุทธิคาดว่จะมี 955 ล้านบาท จะลดลงมากเมื่อเทียบกับปี 2558 ที่มีกำไรสุทธิ 1,527 ล้านบาท เนื่องจากในปี 58 มีรายการพิเศษจากการตีมูลค่าที่ดินใหม่มากถึง 450 ล้านบาท แต่หากมองที่กำไรปกติในปีนี้จะทรงตัว อย่างไรก็ดีในปี 2560 กำไรสุทธิของ STEC จะมากถึง 1,638 ล้านบาท ซึ่งยังไม่รวมการตีมูลค่าที่ดินเพิ่ม โดยจะมีการตีมูลค่าที่ดินทุก ๆ 2 ปี ดังนั้นจึงมีโอกาสที่จะมีการปรับเพิ่มประมาณการและราคาเป้าหมายของ STEC อีกในอนาคต ส่วน บล.ไอร่า ระบุในบทวิเคราะห์ฯแนะ"ซื้อ"หุ้น STEC มีจุดเด่นจากความแข็งแกร่งทางการเงินอยู่ในฐานะ Net Cash คาดมีความได้เปรียบเมื่อเทียบกับคู่แข่งขัน ทั้งอำนาจในการต่อรองกับซัพพลายเออร์และการเข้าประมูลงาน นอกจากนี้ ระดับ Backlog ที่มีล่าสุดประมาณ 53,000 ล้านบาท ยังเพียงพอต่อการเติบโตของรายได้ไม่ต่ำกว่า 2-3 ปีข้างหน้า ขณะเดียวกันยังได้รับประโยชน์จากแผนทยอยเปิดประมูลโครงการขนาดใหญ่ของภาครัฐที่คาดมีต่อเนื่องใน H2/59 รวมถึงงานก่อสร้างโรงไฟฟ้า ซึ่ง STEC มีความถนัดและรับงานก่อสร้างโรงไฟฟ้าทั้ง SPP และ IPP ต่อเนื่องในช่วงที่ผ่านมา นอกจากนี้คาดเป็นโอกาสของ STEC ในการเข้าประมูล โดยเฉพาะโครงการที่มีศักยภาพในการทำกำไร พร้อมคาดาดกำไรสุทธิปี 59 อยู่ที่ 1,258 ล้านบาท ลดลง 17% ภายใต้ประมาณการเพื่อให้สอดคล้องกับเป้าหมายของ STEC ที่คาดความสามารถทำกำไรในปี 59 โดยเฉพาะ Gross Profit Margin กลับไปสู่ระดับปกติของธุรกิจรับเหมาก่อสร้างของ STEC ที่ประมาณ 8.5-9.5% ซึ่งคาดน่าจะเป็นระดับที่ Conservative ของ STEC หลังงานก่อสร้างโรงไฟฟ้า IPP หมดลง