นางสาวธนาพร รัตนมณีรุ่งแสง ผู้อำนวยการสำนักงานกรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.เอสพีซีจี (SPCG) เปิดเผยว่า บริษัทอยู่ระหว่างเจรจาเพื่อเข้าลงทุนโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ในเมียนมา ที่เบื้องต้นคาดจะมีกำลังการผลิตราว 10-20 เมกะวัตต์ และฟิลิปปินส์ โดยคาดว่าจะเห็นความชัดเจนภายในครึ่งปีหลังนี้
สำหรับโครงการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ในเฟส 2 ในประเทศญี่ปุ่น ปัจจุบันอยู่ระหว่างเจรจาเช่นกัน และใกล้จะบรรลุข้อตกลงแล้ว คาดว่าจะเห็นความชัดเจนในเร็ว ๆ นี้
ส่วนผลประกอบการในปีนี้บริษัทยังมั่นใจว่ารายได้ปีนี้จะเป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้ 5.5 พันล้านบาท แม้ว่าค่าเอฟทีจะลดลง 0.28 บาท/หน่วย แต่อย่างไรก็ตามค่าแสงที่ค่อนข้างดี ทำให้ปริมาณการผลิตไฟฟ้าขยายตัวขึ้นอย่างต่อเนื่อง
บริษัทคาดอัตรากำไรสุทธิทั้งปีจะใกล้เคียงกับช่วงครึ่งปีแรกที่ 47.91% เพิ่มขึ้นจากปีก่อนที่ระดับ 43.34% เนื่องจากบริษัทบริหารจัดการต้นทุนได้ค่อนข้างดี ประกอบกับในปีนี้บริษัทตั้งเป้าในส่วนของงานโซลาร์รูฟท็อปจะมีรายได้แตะระดับ 1,000 ล้านบาท จากปีก่อนมีรายได้ราว 400 ล้านบาท โดยตั้งเป้างานติดตั้งให้ได้ไม่ต่ำกว่า 30 เมกะวัตต์ โดยกลุ่มลูกค้าจะแบ่งเป็น 3 กลุ่มหลัก คือ 1.บ้านและที่อยู่อาศัยทั่วไป 2. บ้านในโครงการ และ 3.โรงงานและอาคารขนาดใหญ่
"ผลประกอบการเรายังออกมาได้ค่อนข้างดี แม้ราคาขายไฟปรับตัวลดลง เพราะเรามีการบริหารจัดการค่อนข้างดี และค่าแสงที่ดีช่วยให้ปริมาณการขายไฟสูงขึ้น ขณะที่แนวโน้มผลประกอบการไตรมาส 3/59 ก็ยังมีแนวโน้มที่ดี ซึ่งเราคาดว่าจะเติบโตขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน"นางสาวธนาพร กล่าว