บล.กสิกรไทย มอง SET ปี 60 ขาขึ้นลุ้น 1,700 จุดรับอานิสงส์ลงทุนภาครัฐ-เลือกตั้งหนุนบริโภคในปท.ฟื้น

ข่าวหุ้น-การเงิน Thursday August 11, 2016 16:39 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายกวี ชูกิจเกษม รองกรรมการผู้จัดการ สายงานวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.กสิกรไทย มองทิศทางตลาดหุ้นในปี 60 ว่ายังเป็นทิศทางขาขึ้น โดยมองเป้าหมายดัชนีที่ระดับ 1,650 จุด และมีกรอบบนที่ระดับ 1,700 จุด เนื่องจากเศรษฐกิจไทยมีปัจจัยพื้นฐานที่ดีขึ้น ทั้งในส่วนของการบริโภคที่ฟื้นตัวได้ความเชื่อมั่นที่จะมีการเลือกตั้งเกิดขึ้นในปีหน้า รวมทั้งรับอานิสงส์จากโครงการลงทุนของภาครัฐที่จะทยอยเห็นความชัดเจนมากขึ้น ซึ่งจะมีส่วนช่วยกระตุ้นการผลิตของภาคเอกชนให้เพิ่มขึ้น

นอกจากนี้ รายได้ภาคการเกษตรปรับตัวดีขึ้น หลังจากสถานการณ์ภัยแล้งคลี่คลาย ส่งผลให้ราคาสินค้าเกษตรปรับตัวดีขึ้น ขณะเดียวกันหนี้ภาคครัวเรือนเริ่มปรับลดลง ซึ่งเป็นเพราะสิ้นสุดระยะเวลาการผ่อนชำระในโครงการรถยนต์คันแรก จึงทำให้ภาระหนี้ของประชาชนลดลงและมีกำลังในการจับจ่ายใช้สอยมากขึ้น ซึ่งช่วยในการกระตุ้นการบริโภคภายในประเทศให้เพิ่มขึ้น

ส่วนทิศทางอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) เชื่อว่าคงจะปรับขึ้นได้ไม่มากนักไม่ว่าจะเป็นปีนี้หรือปีหน้า เพราะภาพรวมเศรษฐกิจโลกยังไม่สดใส ดังนั้น อัตราดอกเบี้ยที่ยังอยู่ในระดับต่ำ และกระแสเงินที่ยังมีอยู่ในตลาดโลกค่อนข้างมาก จากทั้งยุโรปและญี่ปุ่นที่ยังอัดฉีดเม็ดเงินเข้าสู่ระบบเพิ่ม จึงทำให้นักลงทุนยังมองหาการลงทุนที่ให้อัตราผลตอบแทน (yield) สูงขึ้น ซึ่งตลาดหุ้นในเอเชียจึงถือเป็นความน่าสนใจที่ยังมีเม็ดเงินจากต่างประเทศไหลเข้ามาลงทุนต่อเนื่อง "ตลาดเอเชียยังมี yield ที่สูงกว่า เงินจึงยังไหลเข้ามาในภูมิภาค ดังนั้น จนถึงปีหน้าทั้งในแง่กระแสเงิน และภาวะเศรษฐกิจเอง ตลาดหุ้นน่าจะ sideway up เป้าหมายปีหน้าอยู่ที่ 1,650 จุด และกรอบบนที่ 1,700 จุด P/E ที่ 16.5 เท่า"นายกวี กล่าว

นายกวี กล่าวว่า ส่วนในปีนี้คาดว่าดัชนีจะอยู่ที่ระดับ 1,530 จุด จากปัจจัยความกังวลว่าสหรัฐจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยหรือไม่ ซึ่งจากความกังวลนี้จะทำให้เงินดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าขึ้นในระยะสั้นและมีเงินไหลกลับมาบางส่วน นอกจากนี้กรณีที่เงินหยวนจะต้องเข้าสู่ระบบตะกร้าเงินตามเกณฑ์ของกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ในเดือนต.ค.นี้ ต้องติดตามว่าเงินหยวนจะมีทิศทางอย่างไรต่อไป หากอ่อนค่าลง ทิศทางของเงินในเอเชียก็จะอ่อนค่าลงตามไปด้วยและทำให้เงินไหลออกจากภูมิภาค

และปัจจัยสุดท้ายคือการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐในช่วงปลายปีนี้ ซึ่งในระหว่างที่ยังไม่มีความชัดเจนก็อาจทำให้นักลงทุนถือครองเงินสดมากกว่าสินทรัพย์เสี่ยงเพื่อรอดูสถานการณ์

"เหตุผลพวกนี้ อาจทำให้ตลาดปรับฐาน แต่การปรับฐานคงไม่มาก เพราะกระแสเงินโลกที่ยังมีอยู่เยอะ กระแสเงินในประเทศที่ยังมีสภาพคล่องสูง กำไรไตรมาส 2 ดีมาก เงินปันผลอีกเป็นแสนล้าน ต้นปีหน้าก็มีเงินปันผลอีกเป็นแสนล้าน ดังนั้นกระแสเงินในประเทศค่อนข้างเยอะ ประกอบกับกระแสเงินต่างประเทศน่าจะประคองได้ ผลกำไรไตรมาส 2 ดี ไตรมาส 3 และ 4 ก็น่าจะดีขึ้นอีก" นายกวี กล่าว

สำหรับหุ้นที่น่าสนใจลงทุนขณะนี้เป็นกลุ่มที่เกี่ยวกับการบริโภคในประเทศ และการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน เช่น หุ้นในกลุ่มธนาคาร เช่น SCB, KTB กลุ่มรับเหมาและวัสดุก่อสร้าง เช่น CK, SCC กลุ่มอสังหาริมทรัพย์ เช่น LH, AP, SPALI กลุ่มค้าปลีก เช่น CPALL, HMPRO, KAMART กลุ่มโรงแรม เช่น CENTEL และกลุ่มสื่อสาร เช่น ADVANC และกลุ่มดิจิตอลทีวี เช่น WORK เป็นต้น

อนึ่ง ดัชนีตลาดหุ้นไทยล่าสุดอยู่ที่ 1,549.83 จุด เพิ่มขึ้น 1.70 จุด (+0.11%)


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ