นายสมพล ธนาดำรงศักดิ์ กรรมการผู้จัดการ บมจ. ฟอร์จูน พาร์ท อินดัสตรี้ (FPI) กล่าวถึงแนวโน้มผลการดำเนินงานในช่วงครึ่งปีหลังคาดว่าจะเติบโตอย่างต่อเนื่อง เมื่อเทียบกับในช่วงครึ่งแรกของปีนี้ โดยคาดว่ารายได้ในปีนี้จะเติบไม่ต่ำกว่า 10% ตามเป้าหมายที่วางไว้ แต่ในแง่ของกำไร คาดว่าจะเติบโตอย่างมีนัยสำคัญเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากได้รับอานิสงส์จากค่าเงินบาทที่อ่อนค่า ราคาน้ำมัน และราคาพลาสติกปรับตัวลดลง
นอกจากนี้มีการรับงาน OEM โดยเฉพาะตลาดยุโรป ที่มีอัตรากำไรขั้นต้น (GP) ค่อนข้างสูง ขณะที่บริษัทฯได้มีการขยายกำลังการผลิตในเดือนพ.ค.59 โดยเพิ่มเครื่องฉีด 650 ตัน 1 เครื่องซึ่งจะเพิ่มยอดกำลังผลิตสินค้ากลุ่มหน้ากระจังอีก 4.62% ในต้นเดือนส.ค.59 ได้เพิ่มเครื่องฉีดอีก 2 เครื่อง ขนาด 1,000 ตัน และ 1,300 ตัน ซึ่งจะเพิ่มกำลังการผลิตของกลุ่มหน้ากระจังอีก 8.82% และกลุ่มกันชนอีก 12.5%
นอกจากนี้ยังขยายกำลังการผลิตของแผนกสี ในเดือนก.ย.59 เป็นไลน์อัตโนมัติ จะเพิ่มกำลังการผลิตอีก 35% เพื่อรองรับงาน OEM ซึ่งคาดว่าจะรับมากขึ้นในช่วงครึ่งปีหลัง จากก่อนหน้ามีการใช้กำลังการผลิต 72.60% ซึ่งจะทำให้ต้นทุนขายต่อหน่วยปรับตัวลดลง ส่งผลให้กำไรขั้นต้นปรับตัวสูงขึ้น
ล่าสุด บริษัทฯ มีงานในมือ (Backlog) ประมาณ 600 ล้านบาท คาดว่าจะรับรู้รายได้ในปีนี้ราว 380 ล้านบาท ยังไม่นับรวมคำสั่งซื้อใหม่ที่จะเกิดขึ้นจากการร่วมทุนกับพันธมิตรในอินเดียที่คาดว่าจะได้ออเดอร์กว่า 360 ล้านบาท ซึ่งจะรับรู้ฯ ในปีนี้ 100 ล้านบาท ส่วนที่เหลือทยอยรับรู้รายได้ในปี 2560 โดยปัจจุบันบริษัทฯมีการส่งออกสินค้าไปยัง 135 ประเทศทั่วโลก และมีสัดส่วนการส่งออกคิดเป็น 85% ของรายได้รวม
ในส่วนของความคืบหน้าในการจัดตั้งบริษัทร่วมลงทุนกับพันธมิตรในประเทศอินเดีย ภายใต้ชื่อ ALP FPI PARTS PRIVATE LIMITED คาดว่าจะสามารถเปิดโรงงานได้ประมาณเดือนม.ค.60 ซึ่งมั่นใจว่าหลังจากเดินเครื่องผลิตจะช่วยผลักดันรายได้และกำไรของบริษัทฯเติบโตอย่างแข็งแกร่ง โดยการร่วมลงทุนในครั้งนี้ เพื่อรองรับการขยายธุรกิจในอนาคต ที่เกี่ยวข้องกับการผลิต ขายส่งชิ้นส่วนและอุปกรณ์รถยนต์ในประเทศอินเดีย ซึ่งจะช่วยเสริมสร้างขีดความสามารถในการแข่งขัน การเพิ่มโอกาสทางธุรกิจ และเป็นผู้นำในการผลิต ขายส่งชิ้นส่วนและอุปกรณ์รถยนต์ไปในประเทศอินเดีย สอดคล้องแผนการดำเนินธุรกิจใน 5 ปี ข้างหน้า เดินหน้าขยายสาขาใน 5 ประเทศทั่วโลก โดยสนใจประเทศตุรกี อินเดีย อเมริกา ฮังการี และเม็กซิโก
ขณะที่ผลการดำเนินงานของบริษัทฯในไตรมาส 2/59 มีรายได้รวม 509.61 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 34.88 ล้านบาท หรือ 7.35 % เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนมีรายได้รวม 474.73 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 74.29 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 19.94 ล้านบาท หรือ 36.68 % เมื่อเทียบช่วงเดียวกันของปีก่อนมีกำไรสุทธิ 54.35 ล้านบาท โดยได้รับปัจจัยหนุนจากต้นทุนราคาน้ำมัน ราคาพลาสติกที่ปรับตัวลดลง และออเดอร์ใหม่ที่มีเข้ามาอย่างต่อเนื่อง หลังจากบริษัทฯ มีการเพิ่มกำลังการผลิต ซึ่งทำให้ต้นทุนขายและต้นทุนต่อหน่วยลดลง ผลักดันให้กำไรปรับตัวสูงขึ้นอย่างโดดเด่นเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกัน
ขณะที่ผลการดำเนินงานในงวดครึ่งแรกของปี 2559 บริษัทฯมีรายได้รวม 979.75 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 64.18 ล้านบาท หรือ 7.01 % เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนมีรายได้รวม 915.57 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 138.51 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 49.99 ล้านบาท หรือ 51.34 % เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนมีกำไรสุทธิ 91.52 ล้านบาท
ทั้งนี้ คณะกรรมการของบริษัท มีมติอนุมัติการจ่ายเงินปันผลระหว่างกาล สำหรับผลประกอบการของบริษัทฯ งวด 6 เดือน ให้แก่ผู้ถือหุ้นในอัตราหุ้นละ 0.06 บาท สำหรับผู้ถือหุ้นจำนวน 1,217,914,359 หุ้น รวมเป็นเงินปันผลจ่ายทั้งสิ้น 73,074,861.54 บาท