นายอารักษ์ สุขสวัสดิ์ กรรมการผู้จัดการ บมจ.อีสต์โคสท์เฟอร์นิเทค (ECF) เปิดเผยว่า ทิศทางธุรกิจครึ่งปีหลังตลาดเฟอร์นิเจอร์ทั้งในประเทศและต่างประเทศปรับตัวดีขึ้น ประกอบกับเป็นช่วงไฮซีซั่นของธุรกิจจำหน่ายเฟอร์นิเจอร์ ซึ่งจะเป็นปัจจัยช่วยผลักดันให้ยอดขายของบริษัทเติบโตสูง ซึ่งบริษัทได้วางกลยุทธ์กระตุ้นยอดขายโดยออกผลิตภัณฑ์รูปแบบใหม่ๆ เพิ่มช่องทางจำหน่ายในประเทศให้มากขึ้นตามการขยายตัวของโมเดิร์นเทรดต่างๆ ขยายโชว์รูม ELEGA เจาะลูกค้าระดับบน และเจรจากับลูกค้าใหม่ในต่างประเทศอย่างต่อเนื่อง ซึ่งการนำกลยุทธ์ดังกล่าวมาปรับใช้ ดังนั้น คาดว่าจะทำให้รายได้รวมของบริษัทปีนี้มีการเติบโตตามเป้าหมายที่ 12-15% ไม่รวมการรับรู้รายได้จากธุรกิจอื่นๆ อาทิ ธุรกิจรีเทลซ็อป CanDo และธุรกิจพลังงาน
สำหรับผลประกอบการช่วงครึ่งปีแรก 59 บริษัทมีรายได้รวมเฉพาะกิจการ 684.13 ล้านบาท ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีรายได้รวมเฉพาะกิจการอยู่ที่ 643.70 ล้านบาท จำนวน 40.43 ล้านบาท หรือปรับตัวเพิ่มขึ้น 6.28% และมีกำไรสุทธิ 39.53 ล้านบาท ปรับตัวเพิ่มขึ้น 9.64%
และสำหรับงบการเงินรวม บริษัทมีรายได้รวมจำนวน 691.79 ล้านบาท ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีรายได้รวมอยู่ที่ 643.27 ล้านบาท จำนวน 48.52 ล้านบาท หรือปรับตัวเพิ่มขึ้น 7.54% และมีกำไรสุทธิ 28.35 ล้านบาท กำไรสุทธิปรับตัวลดลงเล็กน้อยจากค่าใช้จ่ายในการขยายธุรกิจสู่ธุรกิจด้านพลังงานและธุรกิจค้าปลีก อย่างไรก็ตาม มั่นใจว่าการลงทุนดังกล่าวจะสร้างการเติบโตที่ดีให้บริษัทได้ในอนาคต
ปัจจัยสนับสนุนการเติบโตในช่วงครึ่งปีแรก มาจากธุรกิจจำหน่ายเฟอร์นิเจอร์ไม้ปาร์ติเคิลบอร์ด เฟอร์นิเจอร์ไม้ยางพารามียอดขายเติบโตสูงขึ้นทั้งในประเทศและต่างประเทศ โดยมีคำสั่งซื้อจากลูกค้าต่างประเทศเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง อาทิ ลูกค้าประเทศญี่ปุ่นและตะวันออกกลาง ทั้งนี้บริษัทมีสัดส่วนการจำหน่ายสินค้าต่างประเทศ 60% ภายในประเทศ 40% โดยกลุ่มลูกค้าหลักยังคงเป็นญี่ปุ่น ซึ่งในปีนี้บริษัทฯ ยังสามารถจัดหาลูกค้ารายใหม่ๆ ในญี่ปุ่นได้เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง
"ตลาดต่างประเทศมีสัญญาณการเติบโตที่ดี กลุ่มลูกค้าหลักในญี่ปุ่นมีปริมาณการสั่งซื้อมากขึ้น และมีลูกค้ารายใหม่เพิ่ม ซึ่งบริษัทได้มีการออกผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ เพื่อตอบโจทย์ความต้องการและเพิ่มโอกาสสร้างยอดขายให้เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้เรายังอยู่ระหว่างการเจรจากับพันธมิตร เพื่อเริ่มการดำเนินธุรกิจใหม่ๆ ร่วมกัน"นายอารักษ์ กล่าว
ขณะที่ตลาดในประเทศ ECF มีแผนขยายสาขาแบรนด์ ELEGA จำนวน 2 สาขา จากปัจจุบัน 14สาขา และขยายสาขาแบรนด์ FINNA HOUSE จำนวน 1 สาขา จากปัจจุบัน 5 สาขา เพื่อจำหน่ายเฟอร์นิเจอร์ภายใต้ลิขสิทธิ์ DISNEY และขยายการจำหน่ายในกลุ่มโมเดิร์นเทรด
ด้านธุรกิจร้านค้าปลีกรูปแบบร้าน 100 เยน (60 บาท) “Can Do" จากประเทศญี่ปุ่น มีกระแสตอบรับที่ดีต่อเนื่อง ปัจจุบันมีจำนวนสาขา 6 แห่ง ได้แก่ ฟิวเจอร์พาร์ค รังสิต ซีคอนสแควร์ ศรีนครินทร์ เดอะ พาซิโอ พาร์ค กาญจนาภิเษก โฮมโปร รัตนาธิเบศร์ โฮมโปร ราชพฤกษ์ และอินเด็ก ลีฟวิ่ง มอลล์ บางใหญ่ โดยในปีนี้บริษัทมีแผนจะขยายสาขาเพิ่มอีก 2 สาขา เพื่อให้ครอบคลุมและเข้าถึงกลุ่มเป้าหมาย ซึ่งการขยายสาขาจะเป็นกลยุทธ์สำคัญที่จะเพิ่มยอดขายให้เติบโตได้ต่อเนื่อง และคาดว่าการเติบโตของผลประกอบการ Can Do จะทำให้อัตรากำไรสุทธิของบริษัทในปี 2559 สูงกว่าปี 2558 เนื่องจากธุรกิจค้าปลีกมีอัตราส่วนกำไรที่สูงกว่าธุรกิจเฟอร์นิเจอร์
ส่วนธุรกิจพลังงานทดแทนซึ่งลงทุนโดยบริษัท อีซีเอฟ โฮลดิ้งส์ จำกัด (ECFH) บริษัทย่อยของ ECF ในโครงการพลังงานแสงอาทิตย์ (โซล่าร์ฟาร์ม) ECF-Tornado Energy GK กำลังการผลิต 1.5 เมกะวัตต์ ณ เมืองฮิเมจิ จังหวัดเฮียวโงะ ประเทศญี่ปุ่น ปัจจุบันบริษัทรับรู้กำไรจากโครงการดังกล่าวอย่างต่อเนื่อง และอยู่ระหว่างศึกษาแผนเข้าลงทุนโครงการโซล่าร์ฟาร์มเพิ่มเติม หากมีโครงการที่สามารถสร้างผลตอบแทนได้ดีและคุ้มค่ากับการลงทุนก็สนใจเข้าลงทุนเช่นกัน
ขณะที่ธุรกิจโรงไฟฟ้าพลังงานชีวมวล 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ขณะนี้บริษัทผ่านขั้นตอนการประเมินคุณสมบัติและข้อเสนอขายไฟฟ้าด้านเทคนิคแล้ว จากการประกาศผลเมื่อวันที่ 5 ส.ค.59 และอยู่ระหว่างรอการพิจารณาข้อเสนอด้านราคา โดยจะทราบผลคัดเลือกผู้ได้รับข้อเสนอขายไฟฟ้าสำหรับโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานชีวมวล 36 เมกะวัตต์ในวันที่ 25 ส.ค.59