"เอเชีย เวลท์"ระบุ GDP ไตรมาส 2/59 แกร่งเกินคาด เชื่อตลาดหุ้นไทยยังน่าสนใจในระยะยาว

ข่าวหุ้น-การเงิน Monday August 15, 2016 13:30 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายวรุตม์ ศิวะศริยานนท์ กรรมการผู้จัดการสายงานวิจัย บล.เอเชีย เวลท์ กล่าวว่า ตัวเลข GDP ไตรมาส 2 ของสภาพัฒน์ฯ ที่ประกาศมาที่ระดับ 3.5% ซึ่งสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ สะท้อนให้เห็นการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยที่ดีขึ้น ทำให้ตลาดหุ้นไทยยังคงเป็นตลาดหุ้นที่น่าสนใจลงทุนในระยะยาว

ด้านปัจจัยต่างประเทศในสหรัฐฯ เริ่มมีแรงขายทำกำไรในตลาด Wallstreet หลังจากหุ้นปรับตัวขึ้นหุ้นมาพอสมควร โดยตัวเลขยอดค้าปลีกเดือน ก.ค.ออกมาทรงตัวจากเดือน มิ.ย. จากที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้น 0.4% หลังปรับตัวขึ้นมา 3 เดือนติดต่อกัน ซึ่งส่งผลให้ความกังวลว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเร็ว ๆ นี้ น้อยลง

ด้านสำนักงานสถิติแห่งสหภาพยุโรป เปิดเผยว่า GDP ไตรมาส 2/59 ของประเทศสมาชิกสหภาพยุโรป (EU) ได้ปรับตัวเพิ่มขึ้น 0.4% QoQ และเพิ่มขึ้น 1.8% Yoy ด้านญี่ปุ่น รายงาน GDP ไตรมาส 2 ขยายตัวเพียง 0.2% QoQ ชะลอตัวลงอย่างมากเมื่อเทียบกับไตรมาส 1 ที่มีการขยายตัว 1.9% QoQ แต่ราคาน้ำมันที่กลับปรับตัวขึ้นมาอยู่กลางๆ ระหว่าง 40-50 ดอลลาร์สหรัฐ ทำให้แรงกดดันหุ้นพลังงานลดลง

ด้านกลยุทธ์การลงทุน ช่วงนี้คงต้องหลีกเลี่ยงหุ้นในกลุ่มท่องเที่ยวชั่วคราว และเน้นลงทุนในหุ้นพื้นฐานดี และมีอัตราเงินปันผลตอบแทนสูง และได้รับประโยชน์จากการลงทุนภาครัฐ

อย่างไรก็ตาม นายวรุตม์ กล่าวว่า สัปดาห์นี้ตลาดหุ้นไทยน่าจะปรับตัวขึ้นลำบากจากการเกิดเหตุการณ์ระเบิดในช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา น่าจะกระทบการท่องเที่ยว และตลาดหุ้นโดยรวมพอสมควร แต่หากวิเคราะห์การเคลื่อนไหวของตลาดหุ้นไทยตั้งแต่ต้นปี หุ้นไทยปรับตัวขึ้นมากที่สุดในเอเชียที่ 21% ทำให้อาจต้องเผชิญกับแรงขายทำกำไรอยู่แล้วแต่อาจจะไม่มากเท่ากรณีเหตุการณ์ระเบิดดังกล่าว หลังจากญี่ปุ่นหยุดขยาย QE เพิ่มทำให้พันธบัตรรัฐบาลญี่ปุ่นถูกเทขาย และทำให้เม็ดเงินลงทุนต่างชาติไหลเข้าสู่ตลาดหุ้นเอเชีย ซึ่งไทยเป็นหนึ่งในตลาดเป้าหมาย แต่เมื่อเกิดเหตุการณ์ดังกล่าว ทำให้เม็ดเงินไหลเข้าสู่ตลาดหุ้นเอเชียอื่นที่เป็นคู่แข่งใกล้เคียงกัน คือ ตลาดหุ้นฟิลิปปินส์ และอินโดนีเซีย โดยจะต้องติดตามเหตุการณ์อย่างใกล้ชิด

สำหรับ Trading Idea ประจำสัปดาห์นี้ แนะนำซื้อหุ้นของ บมจ.ปูนซิเมนต์ไทย (SCC) ด้วยปัจจัยพื้นฐานที่แข็งแกร่งโดดเด่น ประกอบกับอัตราผลตอบแทนเงินปันผลที่ยังน่าสนใจที่จะดึงดูดความสนใจกระแสเงินทุนต่างชาติที่กำลังเข้ามาหาผลตอบแทนจากการลงทุนในตลาดเกิดใหม่ (Emerging market) หลังจากที่ธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) ตัดสินใจไม่เพิ่มมาตรการการเข้าซื้อพันธบัตร

นายวรุตม์ มองว่า SCC ไม่เพียงแต่เป็นตัวเลือกอันดับต้นๆ ของตลาดในประเทศเท่านั้นแต่ยังรวมถึงตลาดในภูมิภาคเช่นกัน โดยยังคงเห็นถึงความแข็งแกร่งของธุรกิจปิโตรเคมีอย่างต่อเนื่อง ซึ่งยังคงสะท้อนมาจากส่วนต่างราคา (Spread) HDPE-Naphtha ที่สามารถยืนเหนือระดับ 700 ดอลลาร์ฯ ต่อตันได้อย่างยาวนานและมั่นคง โดยผลการดำเนินงานที่แข็งแกร่งดังกล่าวได้ถูกสะท้อนในผลประกอบการงวดครึ่งปีแรกของปี 2559 โต 18% และจ่ายเงินปันผลไปแล้ว 8.50 บาท โดยธุรกิจปิโตรเคมีดีมาก กำไรโต 43% แต่ธุรกิจวัสดุก่อสร้างยังติดลบ 11% ทำให้ทั้งกลุ่มโต 18%

อย่างไรก็ตาม สถานการณ์ภัยแล้งในประเทศเริ่มคลี่คลายลงอย่างเป็นลำดับ ประกอบกับโครงการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ของรัฐซึ่งปัจจุบันได้รับการอนุมัติและดำเนินการอย่างมีความก้าวหน้าจะเป็นปัจจัยหลักที่ผลักดันความต้องการใช้ปูนซิเมนต์ในประเทศนับจากนี้ไป โดยเฉพาะในปีหน้า

จากประมาณการกำไรของสมาคมนักวิเคราะห์ (IAA consensus) คาดว่ากำไรสุทธิต่อหุ้น (EPS) ปีนี้และปีหน้าจะเติบโตต่อเนื่องอีก 10% YoY และ 5% YoY มาอยู่ที่ 41.43 บ. และ 43.36 บ. ตามลำดับ จากระดับสูงสุดเมื่อปี 2558 ที่ผ่านมา ราคาหุ้น SCC ปัจจุบันยังมีความน่าสนใจ โดยให้อัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลอีกราว 3.5% ด้าน P/E ratio อยู่ที่ 12.3-12.4 เท่า ถือว่าไม่แพง เพราะ SCC ถือเป็นหุ้น Blue Chip และนักวิเคราะห์น่าจะมีการปรับประมาณการณ์ขึ้นในระยะต่อไป" นายวรุตม์กล่าว

ด้าน Technical รูปแบบราคาของ SCC มีความแข็งแกร่งอย่างมากในแนวโน้มขาขึ้น (Uptrend) จากการเกิดทั้งสัญญาณซื้อรายวัน รายสัปดาห์ และรายเดือน บ่งบอกว่าจะได้เห็นการทำ New High อีกด้วย โดยมีเป้าหมายแรกเพื่อทดสอบ High เดิมที่ 548 บาท และมีเป้าหมายแรกของการทำ New High อยู่ที่ 586 บาท ตามลำดับ โดย SCC มีจุด Stop Loss ระยะสั้นในรอบนี้อยู่ที่ 502 บาท ด้านราคาเป้าหมาย IAA Consensus ที่ระดับ 596.00 บาท มี Upside ประมาณ 10%


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ