นางสาวนิจวรรณ เชาว์กิตติโสภณ ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด บมจ.โฮม พอตเทอรี่ (HPT) เปิดเผยว่า ภาพรวมอุตสาหกรรมเซรามิกครึ่งปีหลังเชื่อว่ายังสามารถเติบโตได้ดี บริษัทจึงวางแผนเน้นทำการตลาดและเพิ่มช่องทางการจำหน่ายมากขึ้น โดยเฉพาะตลาดในประเทศ และกลุ่มประเทศใน AEC หลังจากได้จัดตั้งบริษัท Central Hospitality ซึ่งเป็นบริษัทเพื่อจำหน่ายผลิตภัณฑ์เซรามิกไฟน์ไชน่าแบรนด์ PE’TYE และสินค้ากลุ่มผลิตภัณฑ์เครื่องใช้และอุปกรณ์สำหรับประกอบอาหาร
ขณะที่สัดส่วนรายได้ปัจจุบันของ HPT แบ่งเป็น ตลาดต่างประเทศ 98% โดยรายได้หลักมาจากประเทศ อเมริกา รองลงมา คือ ยุโรป ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ และสัดส่วนรายได้จากตลาดกลุ่มประเทศ AEC อยู่ที่ 2% ทั้งนี้ บริษัทมีเป้าหมายเพิ่มสัดส่วนรายได้ในประเทศและกลุ่มประเทศ AEC เพิ่มขึ้นเป็น 4% ภายในปี 60 เนื่องจากเป็นกลุ่มประเทศที่มีศักยภาพในการท่องเที่ยวและการโรงแรม โดยในเดือนตุลาคมนี้จะไปเข้าร่วมออกแสดงสินค้า เพื่อประชาสัมพันธ์ผลิตภัณฑ์เซรามิกไฟน์ไชน่าแบรนด์ PE’TYE ที่กัมพูชา ซึ่งถือเป็นการเข้าไปศึกษาและขยายตลาดกัมพูชาเป็นครั้งแรก
นอกจากนี้ บริษัทยังคงเดินหน้าปรับปรุงสายการผลิตสำหรับเตาเผาใหม่เพิ่มเติม เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพ ซึ่งสามารถเพิ่มกำลังการผลิตอีก 20% จากปัจจุบันมีกำลังการผลิตอยู่ที่ 3 ล้านชิ้นต่อปี ปัจจัยดังกล่าวจะช่วยผลักดันยอดขายของบริษัทให้เติบโตต่อเนื่องอย่างแน่นอน
"บริษัทมั่นใจว่ารายได้ปีนี้จะเติบโตตามเป้าหมายที่วางไว้ 15-25% จากปีก่อนที่มีรายได้ 115.12 ล้านบาท โดยเป็นผลจากการจำหน่ายสินค้ามากขึ้นตามกำลังการผลิตใหม่ที่เพิ่มขึ้น รวมทั้งการขยายฐานลูกค้าทั้งในและต่างประเทศ ซึ่งบริษัทมีนโยบายรักษาอัตรากำไรขั้นต้นไว้ที่ประมาณ 30-35% และอัตรากำไรสุทธิที่ประมาณ 10-15%"นางสาวนิจวรรณกล่าว
สำหรับผลประกอบการไตรมาส 2/59 บริษัทมีกำไรสุทธิที่ 2.85 ล้านบาท ปรับตัวเพิ่มขึ้น 56% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนซึ่งมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 1.83 ล้านบาท เนื่องจากบริษัทมีการจำหน่ายสินค้าเพิ่มมากขึ้น รวมทั้งมีออเดอร์สินค้าที่มีลักษณะดีไซน์เป็นงานฝีมือหลากหลายเพิ่มขึ้น เช่น งานวาดสีต่างๆ ซึ่งเป็นสินค้าที่มีมาร์จิ้นสูง
ขณะที่บริษัทมีรายได้รวมในไตรมาส 2/59 เท่ากับ 29.71 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 8.07% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่ 27.48 ล้านบาท ขณะที่ผลประกอบการครึ่งแรกของปี 59 รายได้ใกล้เคียงกับปีที่ผ่านมา
ส่วนกำไรสุทธิครึ่งปีแรกอยู่ที่ 5.12 ล้านบาท เติบโตขึ้น 18% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 58 ที่ทำไว้ 4.34 ล้านบาท