สำหรับในช่วงครึ่งปีหลังบริษัทคาดว่าผลประกอบการจะดีกว่าช่วงครึ่งปีแรก โดยปัจจุบันอยู่ระหว่างเจรจากับลูกค้าในการสร้างคลังสินค้าแบบ Built to Suit พื้นที่รวมกว่า 1 แสนตารางเมตร และเจรจากับลูกค้าในการสร้างโรงงานให้เช่าอีก 2 หมื่นตารางเมตร โดยจะมีการทยอยเซ็นสัญญาในช่วงที่เหลือของปีนี้
"ปีนี้รายได้ และกำไรสุทธิคงประบลดลงเมื่อเทียบกับปีก่อน เนื่องจากเศรษฐกิจโลกยังอยู่ในภาวะชะลอตัว ประกอบกับการลงทุนที่ไม่ได้มากนักบริษัทจึงขายสินทรัพย์กองทุนเพียง 1.4 พันล้านบาท ต่ำกว่าระดับปกติที่ราว 3 พันล้านบาท อย่างไรก็เราเชื่อว่าผลประกอบการในช่วงครึ่งปีหลังจะปรับตัวดีขึ้น เนื่องจากมีการเจรจากับลูกค้าอีกหลายรายที่จะทยอยเซ็นสัญญาในช่วงครึ่งปีหลัง ซึ่งลูกค้าบางส่วนย้ายฐานการผลิตจากจีนมายังไทยมากขึ้นเพราะต้นทุนที่สูงกว่า ประกอบกับประเทศไทยเป็นศูนย์กลางของประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) ด้วย"นายวีรพันธ์ กล่าว
นายวีรพันธ์ กล่าวอีกว่า สำหรับความคืบหน้าในการขยายการลงทุนไปยังต่างประเทศนั้น ปัจจุบันบริษัทอยู่ระหว่างเจรจาพันธมิตรเพื่อร่วมลงทุนทั้งในเวียดนามเหนือและเวียดนามใต้ โดยคาดว่าจะเห็นความชัดเจนและได้ข้อสรุปในช่วงปลายปีนี้ ส่วนแผนการลงทุนในกัมพูชาขณะนี้อยู่ระหว่างการศึกษาความเป็นไปได้ในการลงทุน ขณะที่อินโดนีเซียกำลังพิจารณาซื้อที่ดินเพิ่ม หลังจากที่ได้ก่อสร้างคลังสินค้าเฟสที่ 2 พื้นที่ 5.1 หมื่นตารางเมตร และลูกค้าเช่าพื้นที่เกือบเต็มแล้ว
ส่วนแนวโน้มผลประกอบการในช่วงไตรมาส 3/59 บริษัทคาดว่าจะกลับมามีกำไรสุทธิได้ หลังจากช่วงไตรมาส 2/59 ที่ผ่านมามีผลขาดทุนไป 9.56 ล้านบาท โดยในไตรมาส 3/59 นี้บริษัทจะมีการขายโรงงาน 2 แห่งมูลค่าประมาณ 100 ล้านบาท และขายหน่วยลงทุนของกองทุนรวมสิทธิการเช่าอสังหาริมทรัพย์ไทคอน อินดัสเทรียล โกรท (TGROWTH) ประมาณ 50-60 ล้านบาท
ทั้งนี้บริษัทเตรียมที่จะเดินทางนำเสนอข้อมูลให้กับนักลงทุนต่างประเทศที่สิงคโปร์ ในวันที่ 22 ส.ค. นี้ โดยร่วมเดินทางไปกับ บล. แมคควอรี (ประเทศไทย) เพื่อนำเสนอข้อมูลและสร้างความมั่นใจให้กับนักลงทุน ซึ่งปัจจุบันสัดส่วนนักลงทุนต่างประเทศถือหุ้นของบริษัทรวม 14% ลดลงจากไตรมาส 1/59 ที่อยู่ 18% โดยบริษัทมองว่าคงจะเป็นผลมาจากผลประกอบการที่ปรับตัวลดลง