นายเควิน คูมาร์ ชาร์มา ประธานกรรมการบริหาร บมจ.พลาสติค และหีบห่อไทย (TPAC) เปิดเผยว่า บริษัทตั้งเป้ากำไรสุทธิในปีนี้เติบโต 5% จากปีก่อนที่มีกำไรสุทธิอยู่ที่ 104.24 ล้านบาท เป็นผลมาจากการควบคุมต้นทุนการผลิตและต้นทุนวัตถุดิบ รวมถึงการนำเทคโนโลยีการผลิตที่ทันสมัยมาใช้ ทำให้บริษัทสามารถบริหารต้นทุนการผลิตได้อย่างมีประสิทธิภาพ แม้ว่าในช่วงที่ผ่านมาราคาน้ำมันจะมีความผันผวนซึ่งกระทบต่อราคาขายเม็ดพลาสติก แต่ในทางตรงกันข้ามต้นทุนเม็ดพลาสติกก็ลดลงด้วย ทำให้บริษัทยังคงมีกำไรที่เติบโตขึ้น
“เราไม่สามารถคาดการณ์ยอดขายได้ ซึ่งยอดขายมีความไม่แน่นอน เพราะราคาน้ำมันที่มีความผันผวน ถ้าราคาน้ำมันลดราคาขายเม็ดพลาสติกเราก็ลดลงตาม แต่ต้นทุนวัตถุดิบเราก็ลดลงตามไปด้วย แต่ถ้าราคาน้ำมันเพิ่มราคาขายเม็ดพลาสติกเราก็เพิ่ม และต้นทุนวัตถุดิบเราก็เพิ่มตาม ซึ่งส่วนนี้จะทำให้ Top Line ของเรามีความไม่แน่นอน แต่เราก็จะเน้นการบริหาร Bottom Line ให้มีการเติบโตอยู่ตลอด โดยเราเน้นการควบคุมต้นทุนการผลิตและวัตถุดิบให้มีประสิทธิภาพ และการนำเทคโนโลยีในการผลิตที่ทันสมัยมาใช้"นายเควิน กล่าว
สำหรับแนวโน้มผลการดำเนินงานในไตรมาส 3/59 คาดว่ากำไรจะดีขึ้นกว่าไตรมาส 2/59 และช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากความต้องการใช้เม็ดพลาสติกของบริษัทชั้นนำของโลกที่เป็นลูกค้าของบริษัท โดยเฉพาะลูกค้าต่างประเทศที่เป็นกลุ่มผลิตภัณฑ์อุปโภคและบริโภค อย่างเช่น จอห์นสัน แอนด์ จอนห์นสัน และบริษัทในอินเดีย เริ่มมีออเดอร์เข้ามาในช่วงไตรมาส 3/59 เป็นจำนวนมาก เนื่องจากในช่วงครึ่งปีหลังเป็นช่วงที่ลูกค้าเริ่มเตรียมสั่งสินค้าไว้เพื่อมารองรับการผลิตในช่วงไฮซีซั่น โดยสัดส่วนรายได้ของบริษัทในปัจจุบันมาจากลูกค้าต่างชาติ 90%และอีก 10% มาจากลูกค้าในประเทศ
ปัจจุบัน บริษัทมีกำลังการผลิตเม็ดพลาสติกทั้งหมด 21,000 ตัน/ปี เพิ่มขึ้นจากปีก่อนที่มีกำลังการผลิตอยู่ที่ 20,000 ตัน/ปี โดยบริษัทใช้กำลังการผลิตในปัจจุบัน 70% ของกำลังการผลิตทั้งหมดในปัจจุบัน โดยในช่วงครึ่งปีหลังบริษัทยังคงใช้กำลังการผลิตในอัตราดังกล่าวแม้ว่าออเดอร์ของลุกค้าจะเข้ามาเพิ่มมากขึ้น โดยการใช้กำลังการผลิตในระดับดังกล่าวถือว่าเป็นระดับที่มีประสิทธิภาพที่ใช้ในการผลิตสเม็ดพลาสติกที่มีคุณภาพให้กับลูกค้า
นอกจากนี้ บริษัทยังอยู่ระหว่างการมองหาการซื้อกิจการ (M&A) หรือการร่วมทุนกับพันธมิตรในและต่างประเทศ เพื่อสร้างการเติบโตของบริษัทในอนาคต โดยจะต้องเป็นธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับพลาสติก เนื่องจากบริษัทเห็นถึงการเติบโตของการใช้พลาสติกในอุตสาหกรรมต่างๆ โดยเฉพาะอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับการอุปโภคและบริโภคที่ต้องการใช้พลาสติกมาผลิตบรรจุภัณฑ์ ซึ่งมีสัดส่วนเพิ่มมากกว่าการใช้บรรจุภัณฑ์ที่ทำจากแก้ว เนื่องจากพลาสติกมีน้ำหนักเบา ใช้ง่าย และไม่มีเรื่องการแตกหักเข้ามาเกี่ยวข้อง ทำให้แนวโน้มของการใช้พลาสติกเป็นบรรจุภัณฑ์มีแนวโน้มเพิ่มมากขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ
ทั้งนี้ หากบริษัทมีความชัดเจนในเรื่องดีลการซื้อกิจการหรือการร่วมทุน บริษัทก็พร้อมที่จะลงทุนได้ทันที เนื่องจากบริษัทมีฐานะทางการเงินที่แข็งแกร่ง มีสภาพคล่องในระดับสูง และไม่มีภาระหนี้สิน ทำให้บริษัทมีความพร้อมเพื่อต่อยอดในการเติบโตในอนาคต