นายอดิเรก ศรีประทักษ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่และประธานคณะผู้บริหาร บมจ.เจริญโภคภัณฑ์อาหาร (CPF) หรือซีพีเอฟ กล่าวถึงแนวโน้มธุรกิจในครึ่งปีหลังคาดว่าจะยังคงเป็นไปตามเป้าหมายเดิมที่ยอดขายจะเติบโตประมาณ 10-15% จากปี 2558 สำหรับแนวกลยุทธ์ให้ความสำคัญกับการขยายตลาดและการเพิ่มมูลค่าให้กับผลิตภัณฑ์ รวมถึงการเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิตที่ให้ความใส่ใจในสังคมและสิ่งแวดล้อมรอบด้านเพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืน โดยในปีนี้ได้มีการลงทุนเพิ่มในประเทศจีนในเดือนพฤษภาคมและประเทศศรีลังกาในเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา
ทั้งนี้ บริษัทรายงานรายได้จากการขายสำหรับไตรมาสที่ 2 ปี 59 จำนวน 116,777 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิจำนวน 4,016 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันของปีที่ผ่านมา 13% และ 35% ตามลำดับ
ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2559 ซีพีเอฟมีการลงทุนดำเนินกิจการใน 14 ประเทศ โดยในไตรมาสที่ 2 นี้รายได้จากการขายจากกิจการในประเทศไทยมีจำนวน 44,629 ล้านบาท และรายได้จากการขายจากกิจการในต่างประเทศมีจำนวน 72,148 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 12% และ 13% ตามลำดับ ซึ่งรายได้จากประเทศไทย สาธารณรัฐประชาชนจีน และประเทศเวียดนาม เป็นสัดส่วนประมาณ 77% ของรายได้จากการขายรวม
"ผลการดำเนินงานในไตรมาสที่ 2 ปีนี้ในภาพรวมปรับตัวดีขึ้นทั้งกิจการในประเทศไทยและในต่างประเทศ โดยเฉพาะธุรกิจสัตว์บกในประเทศเวียดนามและประเทศไทยที่พลิกฟื้นจากสถานการณ์ผลผลิตล้นตลาดของสินค้าเนื้อสัตว์ในปีที่แล้ว รวมถึงผลการดำเนินงานของธุรกิจสัตว์น้ำที่ฟื้นตัวจากผลกระทบที่ได้รับจากการระบาดของโรคตายด่วนหรือ Early Mortality Syndrome (EMS) ส่งผลให้อัตรากำไรเบื้องต้นของบริษัทปรับตัวดีขึ้นจาก 13.5% เป็น 17.4% ในปีนี้ และทำให้บริษัทมีกำไรก่อนค่าใช้จ่ายภาษีเงินได้เพิ่มขึ้น 91% แต่จากผลกระทบที่บริษัทจะต้องบันทึกรายการค่าใช้จ่ายภาษีเงินได้ค้างจ่ายอันเนื่องมาจากการเปลี่ยนแปลงวิธีคำนวณภาษีเงินได้นิติบุคคลของกิจการที่ได้รับการส่งเสริมการลงทุนสำหรับรอบปี 2553-2558 เป็นวิธีรวม ซึ่งเป็นการบันทึกการเปลี่ยนแปลงเพียงครั้งเดียวในไตรมาสที่ 2 ทำให้บริษัทกำไรสุทธิเพิ่มขึ้น 35%"นายอดิเรกกล่าว